Spoil NieR Gestalt/Replicant Part 10 สุดยอดอาวุธ
หลังจากการปรากฏตัวของชาโดวลอร์ด Shade ก็เพิ่มขึ้นมากมายอย่างไม่เคยมีมาก่อน แถมยังเรียนรู้ที่จะพัฒนาอาวุธ ชุดเกราะสำหรับการต่อสู้จนมนุษย์แทบมิอาจต้านทาน หมู่บ้านที่เคยสงบสุขของเนียร์เองก็ถูกพวกมันบุกเป็นประจำ ชาวเมืองต้องเสียคนสำคัญและคนในครอบครัวมากขึ้นทุกวัน ความสิ้นหวังเริ่มครอบคลุมไปทั่วทุกระแหง เนียร์พยายามตามหาโยนาห์อย่างไม่ลดละ ชีวิตของเขาในตอนนี้มีเพียงแค่การล่า Shade เพื่อหาเบาะแสของเธอ แต่ตอนนี้เขาก็ไม่พบข้อมูลใดๆ เลย
เนียร์มองไคเนที่สละตนกลายเป็นหินอย่างปวดใจ เมื่อเขามาถึงห้องทำงานของโปโปลา สาวผมแดงก็แสดงความเป็นห่วงเนียร์ที่เขาเอาแต่หักโหมจนสภาพทรุดโทรมเพื่อหาทางตามหาโยนาห์ ทว่าเนียร์ก็แย้งว่านั่นเป็นเพราะเขาเหนื่อยและอายุมากกว่าเดิม ก่อนที่สังเกตและทักอีกฝ่ายว่าเธอนั้นยังดูสาวและสวยเหมือนกับวันแรกที่เขาพบไม่มีผิด จนโปโปลาเขินอายที่ได้รับคำชม
โปโปลามอบจดหมายที่เอมิลส่งมาให้เนียร์ ดูเหมือนเด็กชายจะเจอข้อมูลบางอย่างที่อาจช่วยคลายคำสาปกลายเป็นหินให้ไคเนได้ เอมิลจึงอยากให้เนียร์และไวส์ไปพบที่คฤหาสน์ของเขา พอได้ทราบว่าชายตรงหน้าจะออกไปทำธุระนอกหมู่บ้าน นักปราชญ์สาวก็แสดงท่าทีกังวลเล็กน้อย เพราะในตอนนี้ชาวหมู่บ้านต้องพึ่งพาอาศัยฝีมือของเนียร์ในการป้องกันหมู่บ้านมาก กระนั้นเธอก็เข้าใจสถานการณ์ของเขาดี และขอให้เขาระวังตัว
แม้เวลาจะผ่านมาถึง 5 ปี แต่ดูเหมือนร่างกายของเอมิลจะไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลยแม้แต่น้อย เซบาสเตียนเองก็ยังถอดรหัสบทความรักษาดวงตาของเด็กชายไม่ได้เหมือนเดิม เอมิลบอกเนียร์และไวส์ว่าเขาได้เจอเอกสารจากโลกในอดีต ซึ่งมีข้อความเกี่ยวกับการทดลองหาวิธีใช้และยกเลิกเวทมนต์ทุกชนิดกับบางอย่างที่เรียกว่าหมายเลข 6 แต่เหนืออื่นใด สถานที่นี้น่าจะมีวิธีทางคลายคำสาปให้ไคเนและวิธีรักษาดวงตาของเอมิล โดยทางเข้าห้องทดลองนั้นก็ซ่อนอยู่ที่ลานน้ำพุในคฤหาสน์หลังนี้นี่เอง ไม่รอช้า สามสหายก็ไปสำรวจบริเวณลานน้ำพุทันที พวกเขาพบเส้นทางลับลงไปยังห้องทดลองใต้คฤหาสน์ จู่ๆ เอมิลก็เริ่มปวดหัวขึ้นมา แต่ไม่นานนักก็อาการดีขึ้น ก่อนที่พวกเขาจะตัดสินใจเดินเข้าไป
สถานที่ทดลองลับมีหน้าตาเหมือนกับห้องทดลองของค่ายทหาร มีโหลแก้วขนาดใหญ่พอที่มนุษย์จะเข้าไปอยู่ในนั้นได้อยู่มากมาย ประตูเหล็กกล้าที่ต้องใช้การ์ดในการเปิด ที่นี่ยังมีแสงจากหลอดไฟที่ไม่ทราบว่าเหตุใดถึงยังทำงานได้ ซ้ำพวกเขายังเจอ Shade จำนวนมากภายในสถานที่แห่งนี้ด้วย ระหว่างทางพวกเขาได้พบเอกสารการทดลอง ซึ่งกล่าวถึงการทดลองของหน่วยงานวิเคราะห์อาวุธแห่งสหประชาชาติ ในการทดลองกับสิ่งที่เรียกว่าหมายเลข 6 ดูเหมือนพวกเขาจะทุมทุนให้กับโครงการนี้มาก
แต่ยิ่งเข้าไปลึกมากเท่าไร อาการปวดหัวของเอมิลก็ยิ่งถี่ขึ้นเรื่อยๆ เขาเริ่มรู้สึกคุ้ยเคยราวกับเคยอาศัยอยู่ที่นี่มาก่อน เนียร์พบกับเอกสารอีกฉบับ ซึ่งเกี่ยวกับหัวข้อวาระประชุมเกี่ยวกับการเก็บรักษาหมายเลข 6 ในระยะยาว ผลการวิจัยหมายเลข 7 และการปรับเปลี่ยนพื้นที่เหนือห้องทดลองให้เป็นคฤหาสน์ ที่สำคัญในเอกสารนั้นมีรูปของเด็กหญิงกับเด็กชายที่หน้าตาเหมือนเอมิลมากอยู่ด้วย อีกทั้งเอกสารฉบับที่พบต่อมาพวกเขาก็พบชื่อของเอมิลในนั้น
ร่างกายของผู้บริจาคฮาลัว ได้รับการรับเลือกการตัวเลือกทั้งหมด 7 คนเพื่อเข้าสู่กระบวนการต่อไป เพื่อเก็บรักษาความลับของโครงการ ตัวเลือกที่เหลือจะถูกจำกัดทั้งหมด ยกเว้นร่างของผู้บริจาคเอมิลจะถูกเก็บไว้เก็บไว้สำรองกรณีที่ล้มเหลว
เอมิลปวดหัวหนักขึ้น ภาพบางอย่างอย่างแล่นเข้ามาให้หัวของเขา เด็กชายหลุดว่าเขาเป็นอาวุธ ทว่ากลับไม่เข้าใจความหมายของมัน เหมือนเขากำลังจะจำอะไรบางอย่างที่ไม่อยากจำขึ้นมาได้ เนียร์จึงรีบให้กำลังใจอีกฝ่ายว่าไม่ว่าอดีตของเอมิลจะเป็นอย่างไร พวกเขาก็จะยังอยู่เคียงข้างเด็กชาย
เนียร์ ไวส์ และเอมิล มายังถึงชั้นที่ลึกสุดของสถานที่แห่งนี้ ที่ปลายสุดของสะพานซึ่งทอดยาวมีห้องที่ถูกตั้งโดดเดี่ยวอยู่ เมื่อพวกเขาเข้าไป ก็พบกับร่างประหลาดขนาดใหญ่ถูกตรึงกับกำแพง มันมีศีรษะสีขาวเหมือนกระโหลดที่แย้มยิ้มชวนสยดสยอง ร่างกายเป็นโครงกระดูกไร้เนื้อหนังหุ้ม เมื่ออยู่ต่อหน้ามัน เอมิลก็จำเรื่องราวที่เขาลืมไปได้ทั้งหมด
เด็กชายเล่าว่าพวกเขาเคยเป็น เด็กธรรมดาๆ ก่อนที่จะถูกส่งมาที่นี่ ถูกใช้เวทมนต์ทดลองเพื่อเปลี่ยนให้พวกเขาให้กลายเป็นอาวุธ ในที่สุดเหล่านักวิจัยก็สามารถสร้างสุดยอดอาวุธที่มีชื่อว่าหมายเลข 6 ขึ้นมาได้ ทว่าต่อมากลับไม่สามารถควบคุมมันไว้ได้ สุดท้ายเหล่านักวิจัยจึงตัดสินใจสร้างอาวุธอีกชิ้นขึ้นมาเผื่อผนึกหมายเลข 6 ไว้ นั่นคือสาเหตุที่หมายเลข 7 หรือเอมิลถูกสร้างขึ้นมา
เมื่อได้ยินดังนั้นเนียร์ก็ได้บอกเด็กชายอีกครั้งว่าไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นอาวุธหรือไม่ เด็กชายจะยังคงเป็นเอมิลคนเดิมสำหรับพวกเขาเสมอ คำเอ่ยนั้นทำให้เอมิลกล่าวขอบคุณ ก่อนจะอธิบายเพิ่มเติมว่าสิ่งมีชีวิตตรงหน้าของพวกเขาคือหมายเลข 6 และเธอยังเป็นพี่สาวของเขาอีกด้วย
ทันใดนั้นเอง ดวงตาของหมายเลข 6 ก็กลายเป็นสีแดง เธอเริ่มขยับร่างกายหลังจากถูกน้องชายใช้พลังทำให้เป็นหินผนึกไว้มานาน เธอคือสุดยอดอาวุธที่เคยถูกสร้างขึ้น และนั่นทำให้เธอมีพลังเพียงพอที่จะถอดคำสาปได้
เนียร์ : แล้วเราจะทำยังไงดีล่ะ
เอมิล : ท่านช่วยสัญญาอะไรบางอย่างกับผมก่อนนะครับว่าถ้าเกิดพี่สาวของผมกลืนผมเข้าไป จนผมสูญเสียตัวตนของตัวเอง ผมกลัวว่าผมจะทำร้ายพวกท่าน ถ้าเกิดเรื่องอย่างนั้นจริงๆ ละก็ ผมอยากให้ท่านฆ่าผมซะ
ไม่ทันสิ้นคำดี หมายเลข 6 ก็ก้มตัวกลืนน้องชายของเธอเข้าไปอย่างรวดเร็ว ด้วยความไม่อยากสูญเสียใครไปอีก เนียร์และไวส์ก็รีบเข้าต่อสู้กับหมายเลข 6 เพื่อหาทางช่วยเอมิลออกมา ซึ่งหลังจากที่ทั้งสองล้มหมายเลข 6 ได้แล้ว ในห้วงเวลาแห่งความเป็นตาย เอมิลที่นอนอยู่บนพื้นรู้สึกว่ามีใครบางคนกำลังนั่งอยู่ข้างๆ จ้องมองใบหน้าของเขาอยู่ ในที่สุดสองพี่น้องก็ได้พบกันอีกครั้ง
ฮาลัวมองดวงตาของเอมิล เด็กหญิงส่งมือให้เด็กชายที่ยกมือของตนขึ้นสัมผัสตอบ รอยยิ้มปรากฏบนในหน้าของทั้งคู่ มือเล็กๆ ของพวกเขากระชับกันแน่น แล้วเอมิลก็เอ่ยคำขอบคุณ
เมื่อเนียร์เรียกชื่อของสหาย เสียงของเอมิลก็ตอบรับกลับมา
ไวส์ : เจ้ายังมีชีวิตอยู่ไหม
เอมิล : ผมยัง... มีชีวิตอยู่ครับ ผมรู้สึกถึงพลังของพี่สาวของผมที่กำลังไหลเวียนในตัวของผมด้วย ผม... ผมเริ่มควบคุมพลังได้แล้วล่ะ
ไวส์ : โอเค ดีมาก ถ้าอย่างนั้นก็รีบกลับมาทางนี้ได้แล้ว
เอมิล : แปบหนึ่งนะครับ ผมยังมองอะไรไม่ค่อยเห็นเท่าไร... อา... ไม่ อย่า อย่ามองผมนะ!!!
จู่ๆ เอมิลก็ร้องอย่างตื่นตระหนก ก่อนที่กลุ่มพลังสีแดงจะเริ่มแปรเปลี่ยนกลายเป็นรูปร่างหนึ่งขึ้นมา มันมีศีรษะเป็นหัวกระโหลดสีขาวที่ดูราวกำลังยิ้มอยู่ ร่างกายไร้เนื้อหนังนั่นสวมเสื้อผ้าที่ขาดวิ่นของเด็กชาย มันมีขนาดพอๆ กับเขา และกำลังนั่งร้องไห้ด้วยเสียงที่เนียร์และไวส์คุ้นเคยดี
ภาพที่เห็นทำให้ไวส์ถึงทำอุทานด้วยความไม่อยากเชื่อ ขณะที่เนียร์ตัดสินใจเดินเข้าไปหาอีกฝ่ายที่ยกแขนพยายามปิดบังใบหน้าของตัวเอง เขายื่นมือไปดึงเอมิลที่บัดนี้มีร่างกายเหมือนกับหมายเลข 6 มาสวมกอดเอาไว้พลางปลอบประโลม
เนียร์ : ยินดีต้อนรับกลับมานะเอมิล เจ้าคงเจอเรื่องมามากสินะ
เอมิล : แต่ว่าร่างกาย... ร่างกายของผม
เนียร์ : อืม ข้ารู้
เอมิล : ผมทนอยู่กับท่านในสภาพร่างกายอย่างนี้ไม่ได้หรอก
เนียร์ : ข้าเคยบอกเจ้าไปแล้วไง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม พวกข้าก็จะอยู่ข้างเจ้า
เนียร์ปล่อยให้เอมิลร้องไห้โดยไม่พูดอะไร แต่หลังจากผ่านไปสักพักเขาก็เรียกให้อีกฝ่ายลองมองหน้าของเขาดู เอมิลค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองหน้าของอีกฝ่ายเป็นครั้งแรกในชีวิต หลังจากรู้จักเพียงแค่เสียงมาหลายปี บัดนี้เขาสามารถมองหน้าของผู้อื่นผ่านดวงตาของตัวเองได้แล้ว และเขาก็พบว่าอีกฝ่ายเท่เหมือนกับที่ตนคิดไว้ไม่มีผิด
ในที่สุดเด็กชายก็เริ่มทำใจยอมรับกับร่างกายที่เขาได้รับจากพี่สาวมาได้ แม้จะยังหวั่นใจว่าไคเนจะหวาดกลัวที่ตนเองกลายเป็นเช่นนี้ แต่เอมิลก็เดินทางกลับไปที่หอสมุดพร้อมสหายทั้งสองเพื่อปลดปล่อยไคเนจากการกลายเป็นหิน
เอมิล : ทุกครั้งที่ได้คุยกับท่านไคเน ผมมีความรู้สึกเหมือนคิดถึงอะไรบางอย่างขึ้นมา บางทีผมอาจจะเอาภาพพี่สาวของผมรวมกับเธอก็ได้... เรามาเริ่มกันเถอะ
ว่าเสร็จเอมิลก็ร่ายพลังที่ได้มาใหม่ ร่างของไคเนค่อยๆ กลับคืนสู่สภาพเดิม ก่อนจะล้มลงโดยมีเด็กชายรับตัวเอาไว้ ขณะเดียวกันนั้นเอง Shade ที่พวกเขาขังไว้ในห้องใต้ดินก็พุ่งตัวออกมา เนียร์เข้าไปต่อสู้กับมันอีกครั้ง และในที่สุดคราวนี้เขาก็สามารถจัดการปิดฉากชีวิตของมันลงได้
เสียงเรียกให้มีชีวิตอยู่จากเด็กชายที่เธอรู้จัก ทำให้ไคเนลืมตาขึ้นมา ภาพของกระโหลกสีขาวที่มองเธออยู่ทำให้หญิงสาวอดถามออกไปไม่ได้ว่าเขาคือใคร เมื่อได้ยินเช่นนั้นเอมิลก็ถอยตัวห่าง พยายามหลบหน้าจากอีกฝ่ายด้วยความอับอาย ทว่าหลังจากได้พิจารณาสักพัก กริยาท่าทางของเขาก็เรียกรอยยิ้มอ่อนโยนจากหญิงสาว
ไคเน : เอมิล เจ้าคือคนที่เรียกข้าใช่ไหม
เอมิล : ท่านจำ...ผมได้ด้วยเหรอ
ไคเน : แน่นอน ข้าต้องจำเจ้าได้สิ
คำตอบของเธอทำให้เด็กชายบิดมือไปมาด้วยความดีใจ และเนียร์ก็ทักทายหญิงสาวตรงหน้าบ้าง ไคเนยังคงปากเสียไม่เปลี่ยน เมื่อรู้ว่าเวลาผ่านไปนานถึง 5 ปี เธอก็ตกใจมาก แต่เมื่อเห็นรอยยิ้มเป็นผู้ใหญ่จากอีกฝ่าย เธอก็ไม่อาจละสายตาจากเขาได้ ก่อนที่เขาจะมอบดอกลูนาเทียร์ที่ตามหามาได้เป็นของขวัญต้อนรับการกลับมาให้หญิงสาว
ปิดท้ายก่อนจบ Part จากตอนนี้ทำให้เรารู้นะงับว่าเอมิลนั้นเป็นโชตะหลอกลวง เพราะแกอยู่มาตั้งแต่โลกที่ล่มสลาย อายุก็ราวๆ 1000 ขึ้นไป แต่เอมิลไม่โตขึ้นเพราะผลจากการถูกใช้เวทมนต์ดัดแปลงร่างกาย โครงการทดลองอาวุธมีชื่อว่าองค์กรฮาเมลิน ใช้เด็กเพราะเคยทดลองแล้วว่าเด็กได้ผลทดลองดีกว่าผู้ใหญ่
ผู้กำกับโยโกะ ทาโระ เคยให้สัมภาษณ์เอาไว้ว่าความจริงเอมิลเป็นเกย์ และแอบชอบเนียร์นะครัช แต่ในภาค Gestalt คำพูดไหนชวนคิดไปทางนั้นจะโดนตัดออกให้ดูกลางๆ หมด
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น