Grimoire Nier : And Then There Were None
Grimoire Nier เป็นหนังสือที่ช่วยอธิบายเรื่องราวที่เกิดขึ้นของ Nier Replicant และมีนิยายซึ่งทำให้เราทราบที่มาที่ไปของอะไรหลายๆ อย่างมากขึ้น
หากยังไม่ลืมกัน ฮาร์เมลินคือองค์กรทหารของสหประชาชาติซึ่งได้รับหน้าที่ให้กำจัดพวก Legion มนุษย์ที่ถูกบังคับทำพันธะกับอานุภาคของเทพธิดาจนกลายเป็นปีศาจร่างสีขาวเที่ยวทำร้ายผู้คน ว่ากันว่าพวกเขามีอำนาจเหนือรัฐบาลปกครองประเทศเลยทีเดียว นอกจากนี้พวกเขายังเป็นคนที่นำอานุภาคของมังกรแดงมาทดลองกับมนุษย์เพื่อเปลี่ยนให้อีกฝ่ายกลายเป็นอาวุธเวทมนต์มีชีวิต ซึ่งเอมิลก็คือหนึ่งในหนูทดลองเหล่านั้น
ในตอนแรกทหารที่ถูกส่งตัวไปจัดการกับ Legion ต่างก็ได้รับผลจาก White Chlorination Syndrome ทำให้ร่างกายกลายเป็นเกลือ หรือไม่ก็กลายเป็น Legion ซะเอง จนกระทั่งมีการคิดค้นยา Luciferase ซึ่งช่วยลดโอกาสที่จะติด White Chlorination Syndrome ขึ้นมา ทว่ายาจะสามารถแสดงประสิทธิภาพได้ดีในเด็ก ทำให้องค์กรฮาร์เมลินบีบบังคับจับตัวเด็กมาเป็นทหารเพื่อสู้รบ พร้อมเรียกพวกเด็กๆ ว่านักรบครูเสดตามชื่อของสงครามที่ส่งพวกเขาไปเสี่ยงชีวิต
และนิยายเรื่อง And Then There Were None ก็คือเรื่องราวของเด็กชายคนหนึ่งที่เติบโตขึ้นมาเป็นทหารหนุ่ม คนที่ต่อมาเราได้รู้จักเขาในรูปลักษณ์ที่ต่างออกไป
เครดิท Nier Wikia
And Then There Were None
เสียงขลุ่ยแห่งฮาร์เมลินบรรเลงขึ้น ผ้าม่านถูกแหวกออก และแล้วเวทีศักดิ์สิทธิ์ที่จะตัดสินความเป็นตายของมนุษยชาติก็เปิดฉาก
ผมกำลังอยู่ในห้องที่ไม่มีทั้งหน้าต่าง หรือประตูแม้แต่บานเดียว
มันเป็นห้องขนาดใหญ่ ถึงจะไม่มีโคมไฟให้เห็นแต่มันก็สว่าง ดูเหมือนเพดานทั้งหมดจะเป็นแหล่งกำเนิดแสง รอบตัวคือคนอายุรุ่นราวคราวเดียวกับผมที่มองเพียงปราดเดียวก็รู้ได้ว่าแต่ละคนมีเชื้อชาติแตกต่างกัน ถ้ารวมผมเข้าไปด้วยจะมีผู้ชาย 9 คน ส่วนที่เหลืออีก 4 คนเป็นผู้หญิง บางคนยังไม่ได้สติ และบางคนก็ยืนอยู่ในท่าพร้อมป้องกันตัว ด้วยเหตุผลบางอย่าง พวกเราทุกคนต่างมีหนังสือวางอยู่ข้างๆ คนละเล่ม
เกิดอะไรขึ้นเนี่ย ทำไมผมถึงมาอยู่ที่นี่ได้
ผมรู้สึกเวียนหัว บางทีอาจเป็นเพราะถูกวางยาสลบ เวลาแบบนี้การไม่ลุกขึ้นเร็วเกินไปคงจะดีกว่า พอสังเกตสถานการณ์รอบตัวเสร็จผมก็ควานหาปืนของตัวเอง แต่มันก็หายไปอย่างที่คิดไว้
การฟื้นขึ้นมาในสถานการณ์ถูกลักพาตัวที่ยังบอกที่มาที่ไปไม่ได้แบบนี้ ผมรู้อยู่แล้วว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่ปืน หรืออาวุธอื่นๆ จะต้องถูกยึด แต่นี่แม้แต่ลวดที่ผมเย็บไว้ที่ตะเข็บเสื้อ กับระเบิดที่ซ่อนไว้ในพื้นรองเท้าก็ยังไม่เหลือสักชิ้น และมันก็ทำให้ผมรู้ว่าตัวเองถูกจับมาโดยองค์กรที่ทำงานให้
ผมสังหรณ์ใจมาก่อนแล้วจะต้องเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ตั้งแต่ตอนที่พวกเขาบอกผมเกี่ยวกับ "ภารกิจลับสุดยอด" น่าสงสัยนี่ ที่สำคัญพวกเขายังพูดอีกว่ามันไม่ใช่คำสั่ง ผมมีสิทธิ์เลือกที่จะรับภารกิจหรือไม่ก็ได้
ไม่ใช่แค่ค่าตอบแทนจำนวนมาก พวกเขายังสัญญาอีกว่าจะยอมให้ผมปลดประจำการหลังจบภารกิจ ซึ่งนั่นก็หมายความว่าผมจะสามารถบอกลาชีวิตบัดซบในตอนนี้ได้ ข้อเสนอแบบนี้ถ้าใครไม่รับก็โง่เต็มทน ยกเว้นในกรณีที่คุณเป็นพวกคลั่งไคล้การฆ่าฟันนะ
ถ้าพวกเขากล้ายื่นเสนอให้ถึงขนาดนี้มันจะต้องไม่ใช่แค่ภารกิจไก่กาแน่ๆ บางทีอาจจะสัก 90 ใน 100 คน ไม่สิ อาจจะ 999 ใน 1000 คนเลยก็ได้ที่จะไม่มีโอกาสรอดชีวิตกลับมา พวกเขายอมให้ข้อเสนอพวกนั้นก็เป็นเพราะว่าพวกเขาไม่คิดที่จะให้มันแต่แรกแล้วต่างหาก
แน่นอนว่าผมเข้าใจรื่องนั้นดี แต่ทั้งๆ ที่รู้มาตั้งแต่ต้นผมก็ยังเอาตัวเองมาอยู่ในสถานการณ์ยุ่งเหยิงนี่ พอนึกได้อย่างนั้นผมก็หัวเราะเยาะตัวเอง
ใครบางคนเรียกผมจากด้านข้าง เขาเป็นผู้ชายที่น่าจะอายุน้อยกว่าผม แต่โชคไม่ดีเลยที่พวกเราไม่ได้มาจากประเทศเดียวกัน ผมส่ายหัวเงียบๆ ซึ่งอีกฝ่ายคงเข้าใจความหมาย หลังจากนั้นเขาจึงไม่พูดกับผมอีก
มีผู้คนจากทุกเชื้อชาติที่ทำงานให้กับองค์กรของผม พวกเราส่วนมากรู้แค่ภาษาแม่ของตัวเองเพียงภาษาเดียว พออายุแตะเลข 2 หลัก พวกเราก็ถูกบังคับให้มาใช้ชีวิตฝึกเป็นทหารตั้งแต่พระอาทิตย์ขึ้นยันพระอาทิตย์ตก พวกเราไม่ได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐานหรืออะไรทั้งนั้น ไม่แม้แต่จะอ่านเขียนภาษาของตัวเองได้ เพราะฉะนั้นลืมเรื่องภาษาอื่นไปได้เลย
แน่นอนว่าคนที่เป็นลูกครึ่ง หรือเติบโตในต่างประเทศตั้งแต่ยังเล็กจะสามารถพูดได้หลายภาษา แต่คนแบบนั้นก็เป็นแค่ส่วนน้อยเท่านั้น
ผมลองเอ่ยทักชายคนที่อยู่ตรงข้ามกับผมด้วยภาษาของบ้านเกิด แต่เขาก็ส่ายหน้าโดยไม่กล่าวคำพูดใดๆ
ตอนนั้นเองผู้หญิงที่อยู่ข้างหน้าของผมก็ยกศีรษะขึ้นมา ในที่สุดเธอก็ได้สติสักที ผลของยาส่งผลกับแต่ละคนไม่เท่ากัน แต่คนแบบเธอมักตายเป็นพวกแรกๆ การฟื้นช้ากว่าคนอื่นๆ อาจทำให้ถึงตายได้
ในตอนที่ตาของพวกเราสบกัน ใบหน้าของเธอก็เต็มไปด้วยความแปลกใจ เธอรู้จักผมเหรอ เธอเป็นใคร เดี๋ยวก่อนนะ ผมคิดว่าตัวเองเคยเห็นเธอที่ไหนมาก่อนเหมือนกัน
เด็กสาวยืนขึ้น แล้วมันก็ทำให้เธอเวียนหัวจนล้มเสียงดังสนั่นตามที่ผมคาดเอาไว้ พอได้เห็นความซุ่มซ่ามของอีกฝ่ายมันก็ทำให้ผมนึกออก
"ถ้างั้น เธอก็รอดมาได้สินะ"
เธอยกลำตัวส่วนบนขึ้นแล้วพยักหน้า เด็กสาวสามารถพูดได้หลายภาษา และผมก็ได้ยินมาว่าแม่ของเธอมาจากประเทศเดียวกับผม พวกเด็กๆ ย่อมเรียนรู้ภาษาที่แม่ของตัวเองพูดได้โดยธรรมชาติอยู่แล้ว
"นายเองก็รอดเหมือนกันเหรอ ดีจังเลย!"
"แน่อยู่แล้ว อย่าเอาฉันไปรวมกับคนอย่างเธอสิ"
ผมได้พบกับเธอเมื่อสามปีก่อน พวกเราสองคนคือผู้ที่รอดชีวิตในสงครามครูเสดครั้งที่ 13 ซึ่งเป็นการกวาดล้างพวก Legion ครั้งใหญ่
แน่นอนว่าพวกเราอยู่คนละหน่วยกัน แต่เมื่อภารกิจเริ่มขึ้นใครจะอยู่หน่วยไหนก็ไม่สำคัญ สนามรบทุกที่ก็เป็นเช่นนั้น แต่คราวนี้มันแย่กว่าทุกที ตอนนั้นผมอายุ 16 และเป็นทหารระดับอาวุโสแล้ว แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นผมก็รู้ดีว่าโอกาสรอดของผมมีเพียงแค่ 50-50 เท่านั้น
ท่ามกลางฝุ่นควันจากการต่อสู้ ผมพบกับยัยโง่คนหนึ่งที่ดันไปยืนอยู่หน้าพวก Legion ชั่วพริบตาที่ผมกดเธอลง คนที่อยู่รอบๆ พวกเราก็กลายเป็นเถ้าธุลี
มันไม่ใช่การกระทำเพราะความเมตตาหรือเป็นเรื่องน่าสรรเสริญอะไรหรอก ทหารอย่างพวกเราเป็นกำลังสำคัญ พวกเราเลยต้องให้ความช่วยเหลือเพื่อนร่วมงาน หรือในอีกแง่หนึ่งก็คือพวกเราจะเสียพวกเขาไปไม่ได้ และมันก็เป็นกฎระเบียบด้วย
น่าตกใจจริงๆ ที่ยัยโง่นี่อายุพอๆ กับผม เธอคงจะถูกจับโยนลงมาในสนามรบโดยยังไม่ทันได้รับการฝึกอบรมเท่าที่ควร ไม่น่าแปลกเลยที่เธอจะทำอะไรไม่ถูกตอนที่เห็นพวก Legion ในระยะประชิด
พวก Legion มีลักษณะคล้ายกับมนุษย์ ถึงอย่างไรพวกมันก็เคยเป็นมนุษย์มาก่อน ผู้ติดอาการ White Chlorination Syndrome ส่วนมากต้องพบกับความตาย แต่บางคนก็รอดโดยการถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นสัตว์ประหลาดบ้าคลั่งอย่างนั้น
การกำจัดพวก Legion อย่างเร่งด่วนไม่ใช่เรื่องง่าย นั่นเพราะว่าพวกมันโจมตีมนุษย์ Legion เป็นแหล่งพาหะขนาดใหญ่ที่คอยแพร่เชื้อ White Chlorination Syndrome โรคที่ยังคงมีที่มาเป็นปริศนานี้ปรากฏขึ้นเมื่อ 30 ปีที่แล้ว และจนกระทั่งตอนนี้ก็ยังไม่มีวิธีการรักษา บางทีมันอาจจะเป็นโรคที่แพร่ออกมาจากยักษ์สีขาวซึ่งมาจากต่างโลกก็เป็นไปได้
แม้จะยังไม่มีวิธีการรักษาที่ทำให้หายขาด แต่ก็มีการคิดค้นยาต้านออกมา ปัญหาก็คือไม่มีทางเลยที่จะสามารถผลิตยา Luciferase ออกมาเป็นจำนวนมาก อีกอย่างพวกมันก็ได้รับการยืนยันว่ามีประสิทธิภาพดีเฉพาะในเด็กเท่านั้น
ด้วยเหตุนี้เด็กที่มีความสามารถทางกายภาพสูงจึงได้รับยา Luciferase อันทรงคุณค่า และถูกส่งให้ไปกำจัดพวก Legions องค์กรของสหประชาชาติที่มีหน้าที่ในการฝึกฝน และส่งเด็กเหล่านี้ไปต่อสู้ก็คือองค์กรฮาร์เมลิน ชื่อนั้นได้มาจากเทพนิยายเกี่ยวกับนักเป่าขลุ่ยคนหนึ่งซึ่งรวบรวมพวกเด็กๆ และนำพวกเขาจากหมู่บ้านไป แต่ในความคิดของผม มันเป็นการตั้งชื่อที่ห่วยแตกไร้รสนิยมมาก
"แล้วทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี้ได้ล่ะ"
"พวกเขาบอกว่ามี... ภารกิจลับสุดยอดน่ะ"
"ค่าตอบแทนสูง ได้ปลดประจำการ จะทำหรือไม่ทำก็ได้ใช่ไหม"
เธอเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ แต่ก็พยักหน้าเข้าใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทันที ก่อนหน้าวันนั้นเมื่อ 3 ปีที่แล้ว เด็กสาวเคยได้ไปโรงเรียนมาก่อน เพราะฉะนั้นสิ่งที่เธอได้เรียนรู้มาก็น่าจะทำให้เธอมีความสามารถโดยทั่วไปมากกว่าผม
"ทุกคนที่นี่ได้รับข้อเสนออย่างเดียวกันหรือเปล่านะ"
ผมลองสังเกตรอบๆ อีกครั้ง บางทีพวกเราอาจมาจากคนละสถานที่กันทั้งหมด ถูกส่งมาที่นี่โดยมีความคาดหวังของประเทศของตัวเองแบกอยู่บนบ่า ในตอนแรกจึงไม่มีใครเลยนอกจากผมกับเด็กสาวที่มาพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดกันแบบนี้
"ฉันว่าคนที่ปฏิเสธไปคงไม่ได้มาอยู่ที่นี่หรอก"
เธอพูดถูก ทุกคนต่างมีความหวังอันแรงกล้าที่จะหนีไปจากชีวิตในปัจจุบัน อย่างไรก็ตามสิ่งที่พวกเราทำก็คือการฆ่าล้างเผ่าพันธ์ พวกเราถูกบอกว่าฝ่ายตรงข้ามเป็นปีศาจที่ไม่มีแม้แต่สติปัญญา กระนั้นพวกมันก็ดูเหมือนมนุษย์ไม่มีผิด แล้วพวกเราก็ต้องฆ่ามันด้วยเผาทั้งเป็น
ว่ากันว่าโรค White Chlorination Syndrome แพร่เชื้อผ่านทางของเหลวในร่างกาย เช่น เลือด หรือน้ำลาย ดังนั้นการยิงพวกมันก็เท่ากับเป็นการทำให้ของเหลวพวกนี้กระจายไปทั่ว พวกเราเลยได้รับคำสั่งว่าให้ใช้ปืนน้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ พวกเราเองก็ไม่อยากสูดของอันตรายเข้าไปในร่างกายอยู่แล้ว จึงไม่มีใครบ่นอะไรออกไป
ถึงจะเป็นอย่างนั้น การต้องมาเห็นสิ่งมีชีวิตหน้าตาเหมือนมนุษย์ถูกเผาในกองเพลิงก็ไม่ใช่สิ่งเจริญตาอยู่ดี ผมเผา Legion ครั้งแรกตอนที่ผมเพิ่งอายุได้ 10 ขวบ จากตอนนั้นเวลาก็ผ่านมา 9 ปีแล้ว แต่ตอนนี้ผมก็ยังไม่ชินสักที ไม่ว่าจะเห็นมันมาแล้วกี่ครั้งผมก็ไม่เคยรู้สึกดีเลย
"นายคิดยังไงกับเจ้านี่เหรอ มันก็ดูเหมือนหนังสือเลยนะ แต่ดันเปิดไม่ออกเนี่ยสิ"
เด็กสาวพยายามเปิดหนังสือด้วยสีหน้าอยากรู้อยากเห็น หนังสือที่ถูกวางไว้ข้างพวกเราแต่ละคนนั้นหนามาก หน้าปกของมันจะเรียกว่าเป็นสีดำก็ไม่ใช่ สีเทาเข้มก็ไม่เชิง แถมยังไม่มีอะไรเขียนเอาไว้ด้วย
"นี่ อย่าไปสุ่มสี่สุ่มห้าจับมันนะ!"
"ง่า..."
เธอรีบถอยห่างจากหนังสือด้วยความตกใจ
"อย่ามาง่าสิ โถ่"
ผมถอนหายใจ นิสัยแบบนี้ของเธอไม่ได้เปลี่ยนจากเมื่อ 3 ปีก่อนเลย ถึงเด็กสาวกับผมจะทำงานด้วยกันแค่ช่วงเวลาสั้นๆ หลังจากที่ผมช่วยเธอไว้ก็เถอะ แต่จะให้ผมทิ้งคนที่ขาดทักษะด้านการต่อสู้ไปเสี่ยงเนี่ยผมทำใจไม่ได้จริงๆ แฮะ
โชคดีที่เธอเป็นพวกเรียนรู้ได้เร็ว เพียงแค่แนะนำนิดหน่อยเธอก็สามารถประสานงานกับผมได้อย่างไม่มีติดขัด ความสามารถทางกายภาพของเธอนับว่าหาตัวจับได้ยาก ซึ่งมันก็น่าจะเป็นเช่นนั้น ไม่อย่างนั้นพวกเขาคงไม่เลือกเธอที่มีอายุ 16 ปีแล้วมาทำงานโดยไม่สนใจว่ายา Luciferase จะได้ผลกับเธอดีหรือเปล่า
แต่ในที่สุดพวกเราก็จำเป็นต้องแยกกัน ผมคิดว่าเธอน่าจะตายไปแล้ว หลังจากภารกิจจบลงพวกเราก็ไม่มีวิธีใดที่จะสามารถติดต่อกันได้เลย
"เก่งมากนะที่ตอนนั้นรอดมาได้ เธอเนี่ยโชคดีจริงๆ"
เธอรีบส่ายหน้าปฏิเสธอย่างรวดเร็ว
"นั่นก็เพราะว่านาย... ช่วยให้ฉันหนีต่างหาก"
"ไม่จริงหรอก ตอนนั้นฉันก็แค่ตัดสินใจพลาดไปน่ะ"
พวกเราต้องแยกกันเพราะถูกพวก Legion ล้อมเอาไว้ อย่างน้อยถ้าพวกเราวิ่งไปคนละทางก็น่าจะมีคนหนึ่งที่หนีรอดไปได้ มันเป็นวิธีการที่ดีที่สุดเมื่อต้องเผชิญหน้ากับศัตรูที่มีจำนวนมากขนาดนั้น
ดูแล้วผมน่าจะมีโอกาสรอดมากกว่า อีกทั้งประโยชน์ในการสู้รบก็สูงกว่า เพราะฉะนั้นถ้าหากต้องเลือกระหว่างผมกับเธอ ผมก็น่าจะเป็นคนที่ได้ไปทางที่ปลอดภัย
ใช่แล้ว ผมเลือกทางเลือกที่เป็นไปไม่ได้ ผมต้องถูกผีบ้าเข้าสิงอยู่แน่ นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมผมถึงได้รู้สึกไม่ดีตอนที่นึกเรื่องราวออก มันทำให้ผมรู้สึกหงุดหงิด ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ผมเกือบจะลืมมันไปได้แล้วเชียว...
ตอนที่เธอเปิดปากจะพูดอะไรตอบกลับมา พวกเราก็ได้ยินเสียงคนทะเลาะกันมาจากมุมหนึ่งของห้อง ชายหนึ่งคน และหญิงหนึ่งคน ผมคิดว่าพวกเขาพูดคุยกันรู้เรื่องเหมือนพวกเราซะอีก แต่ดูเหมือนจะไม่ได้เป็นอย่างนั้น ผมไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไง แต่มันน่าจะเป็นแค่เรื่องเข้าใจผิด เพราะพวกเขาต่างกำลังด่าทอกันโดยไม่เข้าใจภาษาที่อีกฝ่ายใช้
ไม่นานนักผู้หญิงคนนั้นก็ตบหน้าของอีกฝ่าย ฟังเสียงแล้วน่าจะเจ็บน่าดู แน่นอนว่าไม่มีใครพยายามเข้าไปห้ามปรามแม้แต่คนเดียว พวกเราทุกคนได้รับการฝึกให้สู้กับ Legion ด้วยมือเปล่า ขืนไม่ดูตาม้าตาเรือเข้าไปยุ่งก็เตรียมตัวรับผลที่จะตามมาได้เลย
หน้าของชายหนุ่มเปลี่ยนเป็นสีแดง เขาเข้าไปคว้าตัวหญิงสาวไว้ และในตอนนั้นเองพวกเราก็ได้เห็นสิ่งที่ไม่น่าเชื่อ หนังสือซึ่งอยู่ที่ปลายเท้าของหญิงสาวกางออกทั้งๆ ที่เธอยังไม่ได้จับ หรือเผลอไปเตะมันเข้าเลย
จู่ๆ ก็มีมือสีดำปรากฏออกมาจากหนังสือที่แผ่อยู่ มันขยายใหญ่จนมีขนาดยักษ์อย่างรวดเร็ว ก่อนคว้าชายหนุ่มโยนขึ้นไปในอากาศ เขาตกลงมาตายโดยที่สีหน้าเต็มไปด้วยความตื่นตกใจ หญิงสาวคนนั้นก็สับสนไม่ต่างกัน แม้แต่เธอเองก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
แต่มันไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น หนังสือที่เป็นของชายหนุ่มเริ่มส่องแสงสว่างจ้าออกมา ผมคิดว่าจะมีมือสีดำอีกข้างโผล่ออกมาเสียอีก แต่ผมคิดผิด ร่างของเขาถูกดูดเข้าไปในหน้าหนังสือ และไม่มีใครได้เห็นอีกเลย
เมื่อกลืนร่างของชายหนุ่มเข้าไปจนหมด แสงจากหนังสือก็หายไป หน้าปกสีเทาดำของมันแปรเปลี่ยนเป็นสีน้ำเงิน มีลวดลายเผยขึ้นบนนั้น มันเป็นรูปน่าขนลุกที่ดูคล้ายกับใบหน้าของมนุษย์
หลังจากทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบได้ไม่นาน ความสับสนวุ่นวายก็เกิดขึ้นแทบจะในทันที
"น่ะ... นั่นมันอะไรน่ะ"
"ฉันจะไปรู้ได้ยังไงเล่า อย่ามาถามกันสิ"
ผมเอื้อมมือไปคว้าหนังสือที่วางอยู่ข้างตัว จนถึงเมื่อครู่ผมเคยคิดว่าคงจะดีกว่าที่จะไม่ไปจับมันโดยไม่ระวังตัว แต่ตอนนี้สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว ผมจะต้องหาข้อมูลของหนังสือนี่ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
นอกจากมันจะไม่มีทั้งตัวหนังสือหรือภาพวาดบนหน้าปก มันยังไม่มีรอยขีดข่วนอะไรเลยสักนิด ผมรู้สึกว่าวัสดุของมันต่างจากกระดาษทั่วไป และก็เป็นอย่างที่เด็กสาวบอก หน้ากระดาษของมันติดกันแน่นสนิทราวกับมีกาวเชื่อมอยู่
"ผู้หญิงคนนั้นเปิดหนังสือของตัวเองออกได้ยังไงนะ"
ราวกับจะให้คำตอบ หรือไม่ถากถางคำถามของผม ตอนนั้นเองเสียงก็ก้องขึ้นทั่วห้อง เสียงหลายเสียงถูกพูดขึ้นพร้อมๆ กันก็เลยยากที่จะฟังออกว่าพวกเขาพูดอะไรกันแน่
ผมตั้งใจฟังด้วยความสามารถทั้งหมดที่มี แล้วก็ได้ยินเสียงที่น่าจะเป็นภาษาของผม เสียงพวกนั้นน่าจะมีอยู่ 13 เสียงเพื่อให้ทุกคนในห้องเข้าใจ มันถ่ายทอดข้อมูลที่สำคัญมาก ทว่าก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลยสักนิด
หนังสือที่พวกเราแต่ละคนได้รับมาคือหนังสือเวทมนต์ "กริมัว" พวกเราจะต้องใช้มันฆ่ากันเองจนกว่าจะมีแค่สองคนในกลุ่มเท่านั้นที่รอดชีวิต
คำอธิบายแสนสั้นนั้นถูกทวนอีกรอบโดยไม่ยอมอธิบายเหตุผลที่แท้จริงหรือเป้าหมายแม้แต่นิดเดียว
"ภารกิจลับสุดยอดบ้าอะไรกัน หลอกกันอย่างนั้นเหรอ"
ผมถ่มน้ำลายลงบนพื้น แล้วมองไปรอบๆ อย่างระมัดระวัง ห้องนี้ไม่มีทั้งหน้าต่างหรือประตู ไม่มีที่ให้หนีไปได้ ถ้าผมอยากกลับออกไปโดยยังมีชีวิตอยู่ ผมก็่ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องต่อสู้เท่านั้น
ถ้าทุกคนในห้องนี้ต้องมาฆ่ากันเองล่ะก็คงจะเป็นเรื่องยากที่จะให้เหลือกันสองคน แค่จะให้รอดคนเดียวยังลำบากเลย และถ้าไม่ระวังดีๆ ล่ะก็ ทุกคนมีหวังได้ตายกันหมดแน่ แต่ก่อนอื่นอย่างน้อยผมก็ต้องระวังตัวเองไว้ให้ดี
ผู้หญิงที่อัญเชิญมือสีดำออกมารีบคว้าหนังสือของตัวเองไว้ แต่ผู้ชายที่อยู่ข้างเธอก็รวดเร็วกว่า
ผู้ชายจับคอของเธอยกจนตัวลอยแล้วออกแรงบีบ เมื่อเสียงแตกหักดังขึ้นก็เหมือนกับอวัยวะของเธอจะทิ้งตัวนิ่งหมดสิ้นเรี่ยวแรงไปเสียเฉยๆ
ผมเดาว่ารายต่อไปน่าจะเป็นผู้ชายที่ฆ่าผู้หญิงคนนั้น คนเรามักไร้การป้องกันตัวในขณะที่จัดการกับเหยื่อ หลังของเขาตกเป็นเป้าหมายเรียบร้อย คนสองคนพุ่งเข้าไปหาเขาพร้อมกัน ไม่ใช่เพราะพวกเขาร่วมกันวางแผน แต่พวกเขาต่างก็ตัดสินใจว่ามันเป็นโอกาสที่ดีที่สุดที่จะลงมือต่างหาก
ถึงอย่างนั้นทั้งสองคนก็ไม่ได้ฆ่าเป้าหมายของพวกตน ในขณะที่ร่างของหญิงสาวหายเข้าไปในหนังสือของเธอนั่นเอง ชายผู้ที่ดูเหมือนจะได้รับชัยชนะก็ล้มลงด้วยสีหน้าเจ็บปวด นอนนิ่งไร้การเคลื่อนไหวใดๆ บนพื้น ก่อนที่เขาจะถูกหนังสือของตัวเองกลืนเข้าไปเช่นกัน และแล้วก็มีเพียงหนังสือสองเล่มที่เหลืออยู่ หน้าปกของพวกมันถูกเปลี่ยนเป็นสีเขียวหยก กับสีอำพัน และต่างก็มีรูปร่างของใบหน้าปรากฏขึ้นมา
"ต้องใช้หนังสือเวทมนต์..." เด็กสาวพึมพำออกมาด้วยเสียงสั่นเครือ
หญิงสาวผู้อัญเชิญมือสีดำจากหนังสือของตนเพื่อฆ่าชายคนนั้นคือผู้ชนะที่แท้จริง นั่นเป็นเพราะเธอคือคนใช้ "กริมัว" ทว่าชายที่สังหารเธอด้วยมือเปล่าไม่ได้ทำเช่นนั้น
"เป็นอย่างนี้เองเหรอ เข้าใจล่ะ"
ในสถานการณ์แบบนี้การหลีกเลี่ยงไม่ลงมือก่อนคือคำตอบที่ถูกต้อง นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้ผมไม่เคลื่อนไหว และส่งสัญญาณทางตาให้เด็กสาวทำอย่างเดียวกัน ตอนนี้กฏของเกมแน่ชัดแล้ว ในที่สุดผมก็เข้าใจสถานการณ์ได้สักที
"แต่ปัญหาในตอนนี้ก็คือพวกเราไม่รู้ว่าจะใช้เจ้านี่ได้ยังไงน่ะสิ"
อย่าทำให้ผมขำได้ไหม นี่คิดจะให้ผมใช้ของบ้าๆ อย่างเวทมนต์จริงๆ น่ะเหรอ
ผมรู้สึกถึงยิ้มน้อยๆ ที่มุมปากของตัวเอง ทั้งๆ ที่มันไม่ใช่เรื่องน่าสนุกเลย แล้วผมก็เพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองกำลังตัวสั่นเป็นเจ้าเข้า
แม้แต่ในตอนที่ผมเผชิญหน้ากับพวก Legion เป็นครั้งแรก ผมก็ไม่ได้รู้สึกลำบากใจขนาดนี้ ผมก็แค่ต้องทำตามที่ถูกฝึกสอนมา ถึงจะเป็นในสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดผมก็รู้ว่ามันจะต้องมีทางออกอยู่เสมอ ผมก็เลยรักษาความเยือกเย็นเอาไว้ได้
แต่ผมมาทำอะไรที่นี่กัน นี่มันไม่มีอะไรเหมือนกับตอนฝึกเลย แถมผมก็ไม่รู้ด้วยว่ามันมีทางออกอยู่หรือเปล่า ที่สำคัญกว่านั้น มีคน 3 คนตายติดๆ กันต่อหน้าต่อตาของผมเลยนะ ทั้งหมดนี่ต้องเป็นความผิดของไอ้หนังสือเวรพวกนี้แน่!
ผมพยายามจะทุ่มหนังสือลงบนพื้นด้วยแรงทั้งหมด แต่แล้วก็มีใครบางคนจับแขนของผมไว้
"ฉันดีใจนะที่พวกเขาบอกว่ามีคนรอดได้ 2 คนไม่ใช่แค่คนเดียว พวกเราจะออกไปจากที่นี่ได้โดยที่ไม่ต้องฆ่ากันเอง เราสองคนสามารถรอดไปได้ทั้งคู่ โชคดีจริงๆ นะ"
ผมสงสัยว่าคำว่าโชคดีมันเหมาะกับสถานการณ์แบบนี้อย่างนั้นเหรอ แต่เธอก็ยิ้มให้ผม ไม่เหมือนกับรอยยิ้มของผมตอนที่ควบคุมสติไว้ไม่ได้ ผมสามารถบอกได้เลยว่ารอยยิ้มนี้มาจากเบื้องลึกของหัวใจของเธอ
"ใจเย็นสิ คนอื่นทุกคนมีแค่ตัวคนเดียว แต่พวกเรามีกันสองคนนะ ถ้าพวกเราช่วยกันคิดล่ะก็จะต้องหาวิธีได้เร็วกว่าคนอื่นแน่ๆ เลย"
เธออาจจะพูดถูกก็ได้ ในห้องนี้ การมีใครสักคนที่สามารถสื่อสารแลกเปลี่ยนความคิดกันได้จะต้องเป็นอาวุธที่ทรงประสิทธิภาพแน่
"คิดดีแล้วเหรอ ในนี้ฉันไม่ใช่คนเก่งที่สุดหรอกนะ รู้หรือเปล่า"
"รู้สิ" เธอหัวเราะคิกคัก
เด็กสาวจับหน้าปกของหนังสือของเธอ ก่อนจะสำรวจมันด้วยสีหน้าจริงจัง
"คนๆ นั้น ตอนที่เธอโกรธ แล้วก็ตอนที่เกือบจะถูกฆ่า มือสีดำต้องมีอะไรเชื่อมโยงกับเรื่องพวกนั้นแน่"
หรือไม่ก็อาจจะต้องทำตามเงื่อนไขทั้งสองอย่างนั้นถึงจะใช้เจ้ากริมัวนี่ได้ แต่ถ้าพวกเราต้องเอาตัวเข้าไปเสี่ยงตายเพื่อใช้งานมันก็คงไม่ใช่เรื่องดีเท่าไร หรือว่าการที่พวกเขาบอกให้พวกเราฆ่ากันอาจจะเป็นเงื่อนไขหรือเปล่า
"อะ หรือว่า..."
เธอเงยหน้าขึ้นราวกับนึกอะไรออก แต่ทันใดนั้นเองสีหน้าของเธอก็แน่นิ่งเหมือนถูกแช่แข็ง เป็นอะไรไปน่ะ ผมสงสัย แต่ยังไม่ทันที่ผมจะถามออกไป ผมก็เห็นเธอยื่นแขนมาทางผม
ในตอนที่ผมรู้สึกเหมือนมีอะไรมามาชนหลัง ผมก็รู้ได้ว่าเธอผลักผมล้มลง และตอนที่ผมกำลังเซนั่นเอง ผมก็เห็นหอกสีดำขนาดยักษ์แทงทะลุร่างของเด็กสาว แล้วเสียงทั้งหมดก็หายไป
เธอจะต้องมองผ่านไหล่ของผมไปเห็นหอกสีดำแน่ๆ เธอถึงได้ผลักผม อาจเพื่อตอบแทนเรื่องเมื่อ 3 ปีก่อน หรือไม่เธอก็...
หนังสือที่อยู่ใกล้ๆ เริ่มส่องสว่าง ผมรีบวิ่งไปอยู่ข้างเธอ ถ้าปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไปเธอต้องถูกหนังสือดูดเข้าไปแน่ ผมกอดเธอไว้ในอ้อมแขน และจับมือของเธอไว้แน่น
อย่าหายไปนะ ได้โปรดอย่าหายไป!
ริมฝีปากของเธอขยับ อะไรน่ะ เธออยากพูดอะไรกัน แต่ผมไม่เข้าใจภาษาของเธอ พอมาคิดๆ ดูแล้วผมยังไม่รู้ชื่อของเธอเลยด้วยซ้ำ พวกเราไม่เคยนึกว่าจะมีชีวิตรอดจนได้มาพบกันอีกก็เลยยังไม่เคยแนะนำตัวกันเลย
ทันใดนั้นน้ำหนักในอ้อมแขนของผมก็หายไป และมือที่ผมจับไว้แน่นก็หลุดจากการเกาะกุมราวกับว่ามันหายไปดื้อๆ
สิ่งที่เหลืออยู่ทั้งหมดของเธอคือหนังสือปกสีแดงเล่มหนึ่ง มันเป็นสีแดงเข้มเหมือนสีของเลือด ใบหน้าที่ปรากฏขึ้นดูไม่มีอะไรเหมือนเธอเลยแม้แต่น้อย
ภาพเบื้องหน้าของผมกลายเป็นสีขาว ผมกรีดร้อง เกือบจะร้องไห้ออกมา แล้วตัวหนังสือที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อนก็ปรากฏออกมานับไม่ถ้วนจนปิดบังทัศนวิสัยของผมจนหมด แต่ผมก็ยังกรีดร้องต่อไป
ทันใดนั้นเสียงต่างๆ ก็กลับมาดังให้ได้ยิน ผมได้ยินเสียงหวีดร้อง และเสียงครวญครางดังระงม
หอกจำนวนนับไม่ถ้วนพุ่งขึ้นมาจากพื้น ผมมองทุกคนในห้องถูกจัดการในคราเดียวด้วยสายตาวางเปล่า ตัวอักษรประหลาดที่อยู่รอบตัวทำให้ผมเหมือนถูกตัดขาดจากโลกแห่งความเป็นจริง
ไม่นานนักการมองเห็นของผมก็กลับมาเป็นปรกติ ชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังยืนอยู่ที่อีกฝังของห้อง ริมฝีปากเผยรอยยิ้มอย่างผู้ได้รับชัยชนะ เมื่อเห็นหนังสือในมือของเขา ผมจึงรู้ว่าคนๆ นี้คือคนที่อัญเชิญหอกขึ้นมาจากพื้น
ดูเหมือนว่าตัวหนังสือจะปกป้องผมเอาไว้
ผมรอดแล้ว แต่ความคิดนั้นกลับไม่ทำให้ผมมีความสุขเลยสักนิด ผมไม่อยากหัวเราะอย่างผู้มีชัยเหมือนชายตรงหน้า ในขณะเดียวกันผมก็ไม่ได้รู้สึกโศกเศร้าต่อผู้ที่เสียชีวิต ผมไม่สนอะไรอีกต่อไปแล้ว
ทันใดนั้นหางตาของผมก็เห็นอะไรบางอย่างกำลังสว่างวาบ หนังสือ หนังสือของผมกำลังส่องแสงออกมาทั้งๆ ที่ผมเป็นผู้ชนะการต่อสู้อย่างนั้นเหรอ!
ชายอีกคนตะโกนอะไรบางอย่างด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก ผมเดาว่าเขาคงกำลังโวยวายเรื่องที่ตนถูกหลอกว่าผู้ที่รอดชีวิตสองคนสุดท้ายจะได้รับการปล่อยตัว
ถึงเสียงจะพูดว่า "มีแค่สองคนในกลุ่มเท่านั้นที่รอดชีวิต" แต่พวกเขาก็ไม่เคยบอกว่าจะปล่อยให้พวกเราออกไป
ผมรู้สึกอยู่แล้วเชียวว่ามันจะต้องเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น พวกเบื้องบนขององค์กรไม่ใช่พวกทีน่าคบหาเท่าไร อีกอย่างเรื่องที่ Luciferase ใช้ต้านโรคได้นั่นก็โกหกทั้งเพ มันแค่ช่วยยืดเวลาการแสดงอาการของโรคเท่านั้น ไม่ได้ช่วยยั้บยั้งการติดเชื้อเลย
ผมได้ยินข่าวลือเรื่องนั้นมาสักพักหนึ่งแล้ว พวกเราถูกหลอก และถูกใช้เป็นเครื่องมือ พวกเราได้รับยาที่ไม่สามารถต้านโรคได้ แล้วก็ถูกโยนเข้าไปในแหล่งแพร่เชื้อ White Chlorination Syndrome ขนาดยักษ์ เหล่าเด็กน้อยที่ถูกนักเป่าขลุ่ยชักนำออกจากบ้านจะต้องติดโรค และตายในไม่ช้าก็เร็ว หรือไม่พวกเขาก็จะถูกเปลี่ยนเป็นสัตว์ประหลาด แล้วก็ต้องถูกฆ่าโดยพวกเดียวกันเอง
เรื่องราวที่เกิดขึ้นในห้องนี้อาจจะเป็นหนึ่งในการทดลอง ตั้งแต่วินาทีที่พวกเราถูกพาตัวมาที่นี่ ชะตาของพวกเราก็ถูกปิดผนึกไปแล้วเรียบร้อย
เสียงร้องตะโกนของชายคนนั้นเงียบลง แล้วผมก็เห็นใบหน้าปรากฏขึ้นบนหนังสือที่กลายเป็นสีดำสนิท และก็เหมือนกับเด็กสาว มันไม่มีอะไรเหมือนกับใบหน้าที่แท้จริงของเขาเลย
ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ผมไม่แน่ใจว่าจะเรียกสิ่งนี้ว่า "เห็น" ได้หรือเปล่า ร่างกายของผมถูกหนังสือดูดเข้าไปแล้ว ผมยังไม่ทันได้เห็นสีปกของตัวเองเลย
อา ผมเห็นแล้ว สีขาว หนังสือสีขาว กริมัว ไวส์
มันเป็นชื่อที่แปลกจนทำให้ผมอดหัวเราะไม่ได้ จากนี้ไปละครชวนหัวฉากใหม่จะเริ่มต้นขึ้น ด้วยใบหน้าใหม่ที่พวกเราได้รับมา พวกเราจะได้รับบทบาทแบบไหนกันนะ
ผมยังคงหัวเราะต่อไปไม่หยุด
เกร็ดความรู้
- ชื่อขององค์กรฮาร์เมลินถูกตั้งชื่อตามตำนานขลุ่ยแห่งฮาร์เมลินของประเทศเยอรมนี กล่าวถึงเมืองฮาร์เมลินซึ่งหนูรุกรานอย่างรวดเร็ว ชายในชุดสีแดงสดคนหนึ่งจึงอาสาช่วยขับไล่หนูโดยขอเงินเป็นของแลกเปลี่ยน เมื่อชาวบ้านตกลงรับคำเขาจึงเป่าขลุ่ยเวทมนต์นำหนูออกไปจากหมู่บ้าน ทว่าชาวบ้านกลับผิดสัญญาไม่มอบเงินให้เขา ชายคนนั้นจึงแก้แค้นด้วยการเป่าขลุ่ยล่อลวงเด็กในหมู่ทั้งหมด 130 คน ออกไปฆาตกรรม ซึ่งหากวิเคราะห์ตามจริงแล้ว ชายชุดสีแดงคนนั้นน่าจะเป็นตัวแทนสื่อถึงกาฬโรคมากกว่า
- หนังสือสีแดงคือกริมัว รูบรัม ที่พวกเนียร์ต้องต่อสู้ด้วยในคฤหาสน์ของเอมิล
- หนังสือสีดำคือกริมัว นัว
- ในบรรดาหนังสือกริมัว 13 เล่ม มีเพียงไวส์ และนัวเท่านั้นที่มีสติสามารถพูดคุยได้
- เวทมนต์ที่ใช้กันในนิยายตอนนี้คือ Sealed Verse ซึ่งไวส์ใช้สนับสนุนการต่อสู้ให้เนียร์ เช่นเดียวกับที่นัวใช้มันสนับสนุนชาโดวลอร์ดตอนที่เขาเพิ่งทำพันธะด้วย
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น