Drag on Dragoon 3 Zero Novella : A Rain to End and a Flower to Begin


เครดิท drakengard wikia

ข้าเกลียดฝน ข้าคิดอย่างนั้นขณะมองห่าฝนซึ่งกำลังกระหน่ำ แต่เมื่อนึกได้ว่าวันที่อากาศแจ่มใสก็ไม่ได้ดีไปกว่ากัน มันก็ทำให้ข้าหัวเราะออกมา

"เจ้าร้องไห้เหรอ" เสียงอันอ่อนแรงดังขึ้นข้างๆ ตัวของข้า "เจ้ากำลังร้องไห้อยู่เหรอ"

"ไม่ใช่" ข้าตอบ "ข้ากำลังหัวเราะต่างหาก"

ไม่น่าแปลกใจที่เด็กสาวผู้อยู่ข้างๆ ข้าจะเข้าใจอารมณ์ของข้าผิดในเมื่อนางถูกพรากการมองเห็นไปแล้ว ส่วนหนึ่งของการทรมานที่นางได้รับคือการเอาเข็มแทงลงบนดวงตา แต่ก็ไม่ใช่เพียงเท่านั้น นางถูกเหล็กร้อนเผาฝ่ามือ และฝ่าเท้าซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนส่งกลิ่นเนื้อไหม้คละคลุ้ง อีกทั้งแขน และขายังถูกตัดเส้นเอ็นจนทำให้นางไม่อาจแม้แต่จะพลิกตัวได้

มันคือมาตราฐานปรกติของการทรมาน นาง และเพื่อนอีก 4 คนวางแผนที่จะก่อกบฏต่อผู้ครองดินแดน ทว่ากลับถูกพวกเดียวกันทรยศก่อนที่จะได้รวมตัวกันเสียอีก ทั้งๆ ที่พวกนางน่าจะรู้ดีว่าถ้าคนเรามีเหตุผลรองรับเพียงพอ ไม่ว่าใครก็พร้อมที่จะหักหลังคนอื่นอยู่แล้ว

พวกนางถูกจับกุมตัว และต้องได้รับโทษทรมาน อีกฝ่ายบอกว่าหากพวกนางยอมรับสารภาพแต่โดยดีก็จะยอมไว้ชีวิต แต่มันเป็นเรื่องโกหกทั้งเพ ไม่ว่าพวกนางจะยอมเปิดปากหรือไม่ก็ตาม สุดท้ายผลลัพท์ก็ไม่เปลี่ยนแปลงอยู่ดี

สิ่งหนึ่งที่ข้าหวังว่าพวกเขาจะไม่ทำก็คือการจับข้า ฆาตกรที่ฆ่าผู้คนตามอำเภอใจไปมากมาย มาขังไว้ในคุกเดียวกับนักสู้เพื่อเสรีภาพกลุ่มนี้ ข้าแตกต่างจากพวกนาง ข้าไม่มีสิ่งใดให้สารภาพ ไม่มีทั้งแผนการหรือผู้ร่วมกระทำความผิด ดังนั้นข้าจึงไม่ได้ถูกทรมานไปมากกว่าการถูกเฆี่ยนตีในบางครั้ง กระดูกของพวกนางแตกหัก เล็บมือก็ถูกถอดออก ในขณะที่ข้ามีแค่รอยแผลบนแผ่นหลังซึ่งนำพาความเจ็บปวดมาให้ ทว่าตอนนี้ข้ากลับไม่รู้สึกเจ็บแม้แต่น้อย ไม่รู้สึกแม้กระทั่งความหนาวเย็นของสายฝน แปลกจริงๆ หรือว่าข้ากำลังจะตายกันนะ

"ข้านี่มีชีวิตที่ไร้ค่าชะมัด"

ความทรงจำแรกที่ข้าจำได้คือตอนที่ข้าถูกแม่ตะโกนด่าทอตบตี มักไม่มีสิ่งใดตกถึงท้องของข้าอยู่บ่อยครั้ง ข้าจึงเรียนรู้ที่จะขโมยก่อนที่จะหัดพูดเสียอีก แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นข้าก็ไม่ได้รู้สึกโกรธเคืองแม่ของข้า มีเพียงลูกหลานของขุนนางเท่านั้นที่จะโชคดีมีอาหารร้อนๆ และเตียงอุ่นๆ ผู้หญิงส่วนมากมักตั้งครรถ์โดยไม่ได้ตั้งใจ เติบโตขึ้นมาโดยไร้ผู้ใดใส่ใจดูแลจนกลายเป็นผู้ใหญ่ไร้คุณภาพ ก่อนที่พวกนางจะทำสิ่งเดียวกันกับลูกสาวของตนเป็นวงจรอุบาทว์ ข้ามั่นใจเลยว่าแม่ของข้าเองก็เติบโตขึ้นมาด้วยวิธีเดียวกันกับข้า

เมื่อข้าเริ่มเข้าสู่วัยสาว แม่ของข้าก็ขายข้าให้กับซ่องแห่งหนึ่งซึ่งตอนนี้ข้ารู้แล้วว่ามันก็แลกได้แค่เศษเงินเท่านั้น ที่นี่มีผู้หญิงอายุไล่เลี่ยกับนางที่ทำตัวแรดร่านบริการพวกผู้ชาย แต่ก็มีเด็กสาววัยเดียวกับข้าอยู่เช่นกัน และข้าก็กลายเป็นเพื่อนกับหนึ่งในนั้น นางเรียกข้าว่า "โรส" และก็เป็นตอนนั้นเองที่ข้าได้รู้ว่าดวงตาของตนมีสีอะไร ข้าไม่เคยส่องกระจกมาก่อน ในขณะเดียวกันข้าก็เรียกนางว่าอินดิโก ข้าไม่ค่อยสนใจหน้าตาของตัวเองนัก แต่ข้าคิดว่านางมีใบหน้าที่งดงามเลยทีเดียว โรสกับอินดิโก... พวกเราตัวติดหนึบกันเลยล่ะ

วันหนึ่งอินดิโกก็เสนอขึ้นมาว่าพวกเราน่าจะขโมยเงินแล้วหนีไปด้วยกัน ข้าตกลงกับแผนของนาง คิดว่าหากพวกเราร่วมมือกันต้องทำได้สำเร็จแน่ แล้วพวกเราก็ลงมือ พวกเราวิ่งหนีออกมา และได้พบกับชายบนหลังม้าคนหนึ่งกำลังรออยู่ที่ประตูเมือง ข้าจำได้ว่าเขาคือลูกค้าขาประจำของอินดิโก นึกว่าอีกฝ่ายคงมาช่วยพาเราสองคนหนีไปด้วย แต่ข้าก็คิดผิด พวกเขาวางแผนที่จะฆ่าข้ามาตั้งแต่แรกแล้ว ข้าเพียงถูกใช้ให้ช่วยขนทองมาให้พวกเขาได้กอบโกยมากขึ้นเท่านั้น

"อย่าถือโทษโกรธเคืองกันเลยนะ โรส"

อินดิโกเอ่ยพร้อมรอยยิ้มตามปรกติของนาง ถ้าหากตอนนั้นคนที่ไล่ตามพวกเราไม่มาถึงซะก่อนข้าก็คงตายไปแล้ว พวกนางสองคนรีบหนีไป ส่วนข้าก็ถูกจับ ข้าไม่นึกโกรธแค้นอินดิโกกับสิ่งที่นางทำ แต่ข้ากลับรู้สึกเกลียดตัวเองที่ไปหลงกลของคนอื่นอย่างง่ายดาย ข้าจึงตัดสินใจว่าคราวหน้าข้าจะไม่มีวันทำผิดซ้ำสองอีก

และเพื่อให้ทุกอย่างดำเนินไปอย่างราบรื่นกว่าตอนที่ร่วมมือกับอินดิโก ข้าจึงทำเรื่องราวใหญ่โตกว่าเดิมนั่นก็คือการฆ่าทุกคนในซ่องจนหมด

ข้ารอจนถึงเวลากลางคืนจึงฆ่าชายที่ถูกจ้างมาเป็นยาม ข้าวางยาพิษในเหล้าของพวกเขาตอนที่มีโอกาส พวกเขาเลยตกอยู่ในสภาพลูกผีลูกคนเพียงพอให้เด็กผู้หญิงอย่างข้าสามารถจัดการพวกเขาอย่างง่ายดาย เช่นเดียวกับพวกโสเภณีซึ่งกำลังหลับอยู่ พวกนางตายก่อนที่จะได้ตื่นขึ้นมาเสียอีก

ข้ารวบรวมเงินทั้งหมดเท่าที่ทำได้ แล้วจากเมืองไปตอนรุ่งสาง โชคร้ายที่ข้าได้เจอกับพวกโจรเข้าพอดี พวกมันเอาทองของข้าไปจนหมด แต่ข้าก็ยังสามารถหนีออกมาได้ทันก่อนที่พวกมันจะขายข้าให้ต้องใช้ชีวิตค้ากามอีก หลังจากเหตุการณ์ในครั้งนี้ข้าก็คิดได้ว่าการพกเงินทองช่างมีปัญหามากกว่าข้อดี ข้าจะขโมยมันแค่ตอนที่ข้าจำเป็นต้องใช้ ข้าจะได้ตกเป็นเป้าน้อยลง ถึงการเป็นผู้หญิงจะยังเป็นหนึ่งในปัญหา แต่น่าเสียดายที่ข้าดันทิ้งมันไปไม่ได้

ข้าอาจสามารถหาชายมาช่วยปกป้องได้อย่างที่อินดิโกทำ แต่ข้าอยากอยู่ได้ด้วยตัวเองมากกว่า ที่จริงแล้วข้าก็เคยอยู่กับชายคนหนึ่งเช่นกัน เขาเคยเป็นผู้อุปภัมถ์ให้กับซ่องโสโครกที่ข้าเคยอยู่ ในตอนที่พวกเราได้พบกันในเมืองแสนห่างไกล ข้าเกือบจะฆ่าเขาเพื่อรักษาความลับเอาไว้ แต่อะไรบางอย่างกลับทำให้ข้าเปลี่ยนใจ สุดท้ายแล้วข้าก็มาอาศัยอยู่กับเขาในมุมหนึ่งของเมือง ให้ความช่วยเหลือเขาในการขโมยของ ช่วงเวลาที่พวกเราได้อยู่ด้วยกันนั้น... ข้าสนุกมาก คิดแม้กระทั่งว่าการใช้ชีวิตแบบนี้ก็ไม่เลวเท่าไร และแล้วข้าก็ล้มเลิกความตั้งใจที่จะฆ่าเขา

แต่เวลาแบบนั้นก็อยู่ได้ไม่นานนัก ข้าติดโรคร้าย และมันก็ค่อยๆ กัดกินข้าอย่างช้าๆ ด้วยความที่มันเป็นโรคติดต่อทำให้เขากลัวความปลอดภัยในชีวิตของตนเอง ชายคนนั้นทอดทิ้งข้า ก่อนที่จะพยายามขายข้าให้กับทางการในฐานะที่ข้าเป็นคนร้ายทำลายซ่อง ในตอนนั้นโรคของข้ายังไม่แสดงอาการออกมามากนัก ช่างเป็นชายที่โง่เขลาอะไรเช่นนี้... ข้าไม่ได้อ่อนแอถึงขนาดที่จะฆ่าเขาไม่ได้สักหน่อย ข้าตัดหัวของอีกฝ่ายตอนกำลังหลับ เขาตายพร้อมกับความตกใจบนใบหน้า แล้วข้าก็ตระหนักได้ว่าความความคิดที่จะฆ่าเขาไม่เคยจากข้าไปเลย... ที่ผ่านมาข้านอนโดยมีดาบเคียงข้างหมอนของตัวเองมาโดยตลอด

และแล้วข้าก็กลับมาอยู่คนเดียวอีกครั้ง ขโมยอาหาร และเสื้อผ้าในตอนที่ข้าจำเป็นต้องใช้พวกมัน ข้าเดินทางอย่างไร้จุดหมาย เท่าที่เคยได้ยินมาโรคของข้าจะต้องใช้เวลาฟักตัวอยู่พักหนึ่ง ข้าจึงออกพเนจรไปเรื่อยๆ จนกว่ามันจะเริ่มแสดงอาการ ข้าฆ่าคนทุกคนที่ข้าขโมยของของพวกเขา ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นผู้หญิง เด็ก หรือคนชราก็ตาม

"เจ้าเอาอาหารไปทั้งหมดเลย แต่ได้โปรดไว้ชีวิตพวกข้าด้วยเถอะ!"

พวกเขาวิงวอน คนเรามักทำหน้าแบบเดียวกันเวลาร้องขอชีวิต ข้าสงสัยว่าตัวเองมีสีหน้าเช่นนั้นตอนเรื่องของอินดิโกหรือเปล่า ไม่สิ ข้าไม่คิดว่าเป็นอย่างนั้น เพราะว่าข้าไม่เคยขอร้องใคร

"ถ้าข้าไว้ชีวิตพวกเจ้า เดี๋ยวสักวันพวกเจ้าก็จะกลับมาแก้แค้นข้าน่ะสิ"

"ไม่ พวกข้าไม่ทำอย่างนั้นหรอก ข้าสาบานได้เลย!"

"พวกเจ้าต้องทำแน่ เพราะว่าข้าฆ่าแม่ของพวกเจ้าต่อหน้าพวกเจ้าไงล่ะ"

นางดูเหมือนจะเป็นแม่ที่ดีไม่เหมือนกับแม่ของข้า นางตายเพราะปกป้องลูกๆ ของนางจากคมดาบของข้า

"ข้าจะไม่ขอให้พวกเจ้าอภัยให้ข้า ถ้าอยากสาปแช่งข้าล่ะก็ก็เชิญตามสบาย"

แล้วข้าก็ปลิดชีพของสองพี่น้องที่กำลังตัวสั่นเทา

หลังจากสังหารผู้คนไปมากมาย มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ไม่ได้ร้องขอชีวิตของตน นางเป็นเด็กหญิงอายุคงน้อยกว่าข้าไม่กี่ปี นางซึ่งจับจ้องมาที่ข้าด้วยสายตาอาฆาตแค้น

"ทำไมเจ้าถึงทำอย่างนี้!"

"เพราะว่าข้าหิวน่ะสิ"

"อย่ามาพูดจากวนประสาทข้านะ!"

"ข้าไม่ได้กวนประสาทเจ้า ข้าแค่หิว แล้วข้าก็ไม่มีเงินไปซื้อของกินไงล่ะ"

เด็กหญิงวางร่างของพ่อ และพี่ชายของตัวเองลง เช่นกันกับร่างของสตรีที่ทำงานปรุงอาหารให้พวกนาง นี่เป็นวิธีการตามปรกติของข้า ฆ่าคนที่แข็งแรงที่สุดก่อน แล้วเหลือเด็กเอาไว้เป็นคนสุดท้าย

"แล้วทำไมเจ้าถึงไม่แค่ขโมยของของพวกข้าแล้วหนีไปล่ะ เจ้าฆ่าพวกข้าทำไม!"

"ก็ตามที่เจ้าถามมานั่นแหละ ใช่แล้ว ข้าก็สงสัยเหมือนกันว่าทำไม"

ขณะที่ข้าเอ่ยข้อสงสัยใหม่ของตัวเองออกไป ข้าก็ตัดหัวของเด็กหญิงออกจากบ่าของนาง ดวงตาที่เบิกกว้างยังคงเต็มไปด้วยความชิงชังแม้จะหมดลมหายใจไปแล้ว

"ทำไมข้าถึงทำอย่างนี้น่ะเหรอ ข้าเองก็อยากรู้เหมือนกัน"

ตาที่ไม่อาจกระพริบได้อีกแล้วของเด็กหญิงจับจ้องหลังของข้า ข้าหยิบขนมปังบนโต๊ะแล้วเริ่มกัดกินมัน ใช่แล้ว ข้าหิว นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมข้าถึงได้บุกเข้ามาในบ้านดูดีมีอันจะกินในเวลาอาหารค่ำเช่นนี้

"นั่นสิ... ทำไมกันนะ..."

ข้ากินอาหารในจานด้วยมือเปล่า ดื่มน้ำจากปากเหยือก เอ่ยชื่มชมคนครัวในใจ นางฝีมือเยี่ยมจริงๆ

"ทำไมข้าถึงต้องฆ่ามาตลอดด้วยล่ะ แต่ถึงจะฆ่าคนมาตั้งมากมายแล้วข้าก็ยังไม่แน่ใจอยู่ดี"

ข้ากล่าวกับหัวของเด็กสาวบนพื้น ข้าจำเรื่องราวเกี่ยวกับคนที่ข้าฆ่าไปไม่ได้เลย จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าฆ่าไปกี่คน แล้วทำไมข้าถึงไม่เคยคิดถึงคำถามที่ง่ายที่สุดนี้กันนะ

ทำไมข้าต้องฆ่าล่ะ ทำไมกัน

"บางทีข้าอาจะฆ่าเพื่อหาคำตอบก็ได้"

ดวงตาของเด็กหญิงยังคงจ้องมองมาทางข้าด้วยความไม่พอใจ

หลังจากนั้นข้าก็ดำเนินชีวิตตามแบบของตัวเองต่อไป ข้ายังคงฆ่าโดยไม่คิดหาเหตุผล ทว่าเมื่อจำนวนเหยื่อมากขึ้นเรื่อยๆ ข่าวเกี่ยวกับข้าก็เริ่มแพร่สะพัด แต่พวกเขาก็ไม่อาจทำอะไรในเมื่อข้าสังหารคนที่จะกลายเป็นพยานได้ทุกคน เรื่องราวของหญิงสาวที่เที่ยวเดินทางฆ่าคนไม่เลือกกระจายจากเมืองหนึ่งสู่อีกเมืองหนึ่ง แม้แต่ในดินแดนที่ไกลที่สุดก็ยังขนานนามถึง "แม่มดดวงตาสีแดง" ข้าถูกตั้งค่าหัว หากผู้ใดปลิดชีพข้าได้ก็จะได้รับการตกรางวัล

ในที่สุดข้าก็ถูกจับตัวในคืนหนึ่งที่โรคร้ายทำให้ข้าไม่สามารถเคลื่อนไหว อาการป่วยกำเริบขึ้นจนข้าไม่อาจต้านทาน ตอนที่พวกเขาล่ามข้าไว้ ข้าก็รู้ได้โดยทันทีว่าจุดจบกำลังจะมาถึง ข้าถูกลงทัณฑ์ในความผิดที่ได้กระทำ ถูกเฆี่ยนจนเลือดออก แต่ก็ไม่มากพอที่จะทำให้ตาย พวกเขาบอกข้าถึงจำนวนคนที่ข้าสังหารไป มันน้อยกว่าที่ข้าคาดไว้ แล้วข้าก็ต้องใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ฟังเสียงของเด็กสาวทั้ง 5 คนถูกทรมานภายในคุก

ยิ่งนานวันเสียงของพวกนางก็ยิ่งแผ่วเบาลงเรื่อยๆ เด็กสาวที่อยู่ข้างข้าคือคนที่ทนมาได้นานที่สุดด้วยกำลังจากเจตนารมณ์อันแข็งแกร่ง ข้ามองนาง รู้ดีว่านางไม่อาจมองเห็นข้าได้ แต่แม้จะเป็นในสถานการณ์เช่นนี้ข้าก็ยังเห็นเด็กสาวเข้มแข็งผู้เต็มเปี่ยมด้วยคุณธรรมคนหนึ่ง... ช่างตรงข้ามกับตัวข้านัก น่าแปลกจริงๆ ที่พวกเราต้องมาตายอยู่ข้างกันเช่นนี้

และแล้วนางก็ถามชื่อของข้า นางคงรู้ได้ว่าข้าไม่ใช่หนึ่งในสมาชิกในกลุ่มของนางจากเสียงไอของข้า

"เจ้าเป็นใครกัน เจ้าชื่อว่าอะไรเหรอ"

ข้าจึงตอบนางไปว่าข้าไม่มีชื่อ ข้าไม่มีอะไรทั้งนั้น ไม่มีเงิน ไม่มีบ้าน ไม่มีครอบครัว เพื่อน หรือคนรัก ไม่มีอะไรสักอย่าง ช่างน่าเหลือเชื่อชะมัด สิ่งเดียวที่ข้าเคยมีคือชีวิตของข้า แล้วอีกไม่นานข้าก็จะต้องสูญเสียมันไป ซีโร (ศูนย์) นั่นแหละที่ควรจะเป็นชื่อของข้า งี่เง่าใช่ไหมล่ะ

ใช่แล้ว ช่างเป็นชีวิตที่งี่เง่าเหลือเกิน ไม่มีความหมายอะไร มันว่างเปล่าไปหมด น่าหัวร่อจริง

"อย่าร้องไห้เลย..." เด็กสาวเอ่ยอีกครั้ง

"ข้า... กำลังหัวเราะต่างหาก..."

ข้ารู้สึกหายใจลำบากจนเสียงฟังดูเหมือนกำลังสะอื้นอยู่ ทำให้ข้ารู้ตัวว่าลมหายใจของตัวเองอาจหมดลงได้ทุกเมื่อ

"จริงเหรอ"

"จริงสิ"

ข้าได้ยินเสียงถอนหายใจอย่างโล่งอกของนางก่อนที่จะสังเกตว่าฝนเริ่มซาลง ครู่หนึ่งข้าก็รับรู้ได้ว่านางจากไปแล้ว เพียงแค่ไม่กี่อึดใจชีวิตก็ถูกกระชากออกจากร่างของนาง

"นี่..." ไม่มีเสียงใดตอบรับ "งั้น ข้าก็เป็นคนสุดท้ายสินะ..."

ว่ากันว่าคนที่เหลือรอดเป็นคนสุดท้ายจะรู้สึกเหมือนตายทั้งเป็นเมื่อมองร่างอื่นๆ ได้ยินว่าคนหนึ่งกัดลิ้นจบชีวิตของตัวเอง อีกคนตายระหว่างถูกลากตัวมาที่คุก อีกคนจากไปก่อนที่ฝนจะเริ่มตก ส่วนอีกคนในขณะที่ฝนกำลังเทลงมา พวกเราคือสองคนสุดท้าย คงเป็นไปไม่ได้ที่จะจุดไฟในสภาพอากาศเช่นนี้ ท้ายที่สุดข้าก็คงถูกเผาไปพร้อมกับทั้ง 5 อย่างน้อยนางก็ไม่ต้องเป็นคนๆ นั้น เด็กสาวผู้ใช้ชีวิตเพื่อคนอื่นไม่ควรต้องตายอย่างน่าอเนจอนาถอย่างนั้น มันไม่ถูกต้องเลยจริงๆ

... ไม่ถูกต้องอย่างนั้นเหรอ อะไรที่ไม่ถูกต้องกันล่ะ ใครคือคนที่ผิดหรือ

"พวกข้าไม่ผิด!"

ข้าจำคำที่เด็กสาวพูดได้ ใช่แล้ว พวกนางไม่ผิด

โลกใบนี้นี้ต่างหากล่ะที่ผิด เป็นเจ้าพวกผู้ครองดินแดนสารเลวพวกนั้นที่ทำเรื่องอย่างนี้กับประชาชน เป็นข้าเองที่ฆ่าคนอื่นโดยไม่คิดอะไรเลยแม้แต่น้อย เป็นเพราะโลกใบนี้ที่ลงโทษคนอ่อนแอต่างหาก

น่าประหลาดชะมัด ไม่เห็นจะสมเหตุสมผลตรงไหนเลย

ทันใดนั้นความโกรธก็กลืนกินข้า ไม่สิ ไม่ใช่ว่ามันเพิ่งมาเริ่มตอนนี้ ข้ารู้สึกโกรธมาตลอดเพียงแต่ไม่รู้ตัวเท่านั้น ข้ารู้สึกชิงชังมาตลอด สาปแช่งโลกนี้มาตลอด ตั้งแต่ก่อนที่ข้าจะจำความได้ซะอีก...

ข้ารู้สึกถึงเสียงกรีดร้องที่ทะยานออกมาจากลำคอของข้า แต่กลับมีเพียงของเหลวอุ่นที่ทะลักออกมาจากปาก เลือดนั่นเอง ดูเหมือนไอ้หลุมนรกของโลกนี้พยายามจะฆ่าข้าให้ตาย ข้าไม่ยอมหรอก ไม่ยอมเด็ดขาด ไปตายซะ! เจ้าต่างหากที่สมควรตาย! ไปตายซะ! ตายซะ! ตายซะ! ตายซะ! ตายซะ...!

ข้าสังเกตเห็นดอกไม้อยู่เบื้องหน้า มันกำลังบานอยู่ระหว่างข้ากับเด็กสาว

มันอยู่ที่นี่มาตลอดอย่างนั้นเหรอ ข้าไม่ทันรู้ตัวมาก่อนเลย

ดอกไม้สั่นไหวยามหยาดฝนตกกระทบลงบนกลีบ ข้าไม่รู้ว่ามันคือดอกไม้ชนิดใด แต่ข้าก็รู้สึกเหมือนเคยเห็นมันมาก่อน บางทีอาจจะเป็นเพราะว่ามันมีสีเดียวกับดวงตาของข้าก็เป็นไปได้

หรือว่ามันจะเป็นดอกไม้สวรรค์กัน นี่ข้าตายแล้วเหรอ

ไม่สิ ข้าไม่มีทางได้ไปสวรรค์ นี่คงเป็นภาพหลอนก่อนที่ข้าจะตายแน่ๆ แต่ก็ไม่เป็นไรหรอก ตอนนี้ข้าอยากจะมองมัน อยากสัมผัสมัน ข้าไม่เคยสนใจดอกไม้มาก่อน... แต่ข้ารู้สึกชอบเจ้านี่อย่างสุดหัวใจ

ในสายตาของข้ามีเพียงดอกไม้ดอกนั้น ข้ามองมันโดยไม่กระพริบตา สวยอะไรอย่างนี้นะ ถึงชีวิตของข้าจะไม่มีความหมายอะไร แต่ถ้ามันจะจบลงอย่างนี้ก็ไม่เลวหรอก

ดอกไม้เบ่งบานต่อหน้าของข้า และข้าก็เหยียดยิ้มกว้างออกมาอย่างเงียบๆ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Spoil NieR Automata Part 27 Ending E : the End of YoRHa และวิเคราะห์เนื้อเรื่องทั้งหมดตามใจฉัน

ผ้าปิดตาของ YoRHa