Grimoire Nier : The Red and the Black


เครดิท : Nier Wikia

"ชีวิตในทุกๆ วัน" ได้มาจากการสังเวยทุกๆ สิ่ง และสีสันที่เห็นบนร่างของ Shade ก็บ่งบอกถึงความหาญกล้า และความบ้าคลั่ง

เสียงนกร้องดังมาให้ได้ยินจากไกลๆ วันนี้อากาศคงจะแจ่มใส หลังจากหยิบไข่ไก่ขึ้นมาจากกองฟางซึ่งเปียกชื้นด้วยน้ำค้าง เนียร์ก็เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า นี่เป็นฟองสุดท้ายแล้ว แม่ไก่จะวางไข่แค่วันละฟอง ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากที่จะนับพลาดไป

"เจ้าเก็บเสร็จแล้วหรือยัง"

เจ้าของแม่ไก่ส่งเสียงเรียกหลังจากที่เนียร์นับจำนวนไข่ในตระกร้าเสร็จพอดี เด็กชายพยักหน้า แล้วส่งตระกร้าให้อีกฝ่าย

"โอ้ ทำได้ดีมาก" 1 2... ชายหนุ่มยืนยันจำนวนไข่ไก่ แล้วเผยรอยยิ้มออกมา "ตอนนี้เมียของข้าอาการดีขึ้นแล้วล่ะ เพราะฉะนั้นหลังจากนี้เจ้าไม่ต้องมาแล้วนะ เจ้าช่วยได้มากเลย"

ภรรยาของชายหนุ่มมีไข้จนต้องนอนซมมา 5 วันแล้ว ปรกติการเก็บไข่ในตอนเช้าคือหน้าที่ของเธอ

"เอาล่ะ ส่วนของตอบแทนที่ข้าสัญญาไว้ ว่าแต่เจ้าแน่ใจนะว่าเจ้าไม่ต้องการเงินหรืออาหารน่ะ"

ระหว่างที่ภรรยาของชายหนุ่มพักฟื้น เนียร์ต้องตื่นเช้ากว่าชาวบ้านคนอื่นๆ เพื่อเก็บไข่ไก่ สิ่งตอบแทนที่เด็กชายต้องการสำหรับงานของเขาคือลูกไก่ที่เพิ่งฟัก 1 ตัว

"แค่นี้ก็พอครับ โยนาห์ต้องดีใจแน่ๆ"

"เข้าใจแล้ว งั้นเจ้าเอาไปตัวหนึ่งจากตระกร้าตรงนั้นได้เลยนะ"

พวกมันทั้งหมดเพิ่งฟักออกจากไข่เมื่อวาน เนียร์ไม่สามารถแยกออกเลยว่าตัวไหนเป็นตัวไหน แต่เขาก็เลือกตัวที่ดูแข็งแรงที่สุดขึ้นมา ลูกไก่ดิ้น บางทีอาจเป็นเพราะมันไม่อยากแยกจากพวกเดียวกัน เด็กชายอุ้มมันไว้ในมือด้วยความระมัดระวังที่จะไม่ทำมันหล่น หรือบีบมันแรงเกินไป แล้วเขาก็วิ่งกลับบ้านของตน

ไม่นานชาวเมืองก็เริ่มตื่น ตอนที่เขาออกจากบ้านมายังไม่มีใครให้เห็นบนถนน แต่ตอนนี้มันกลับเต็มไปด้วยชาวบ้านที่พากันเดินกันขวักไขว่ และในขณะที่เขากำลังทักทายตอบอีกฝ่ายก็มีเสียงหนึ่งเรียกเขาไว้  เธอคือคุณนายเจ้าของร้านอาหารนั่นเอง

"เจ้ามาได้เวลาพอดีเลย เนียร์ ข้าได้ยินมาว่าวันนี้โปโปลาให้เจ้าไปเก็บสมุนไพรใช่ไหม ถ้าอย่างนั้นเจ้าช่วยหาเห็ดมาให้ข้าด้วยได้หรือเปล่า"

"ได้ครับ"

ผู้คนไม่ค่อยอยากออกไปจากหมู่บ้านมากนักเนื่องจากมันทั้งอันตราย และยากลำบาก ที่ข้างนอกนั่นพวกเขาต้องคอยระวังเป็นอย่างมากไม่ให้เผลอไปยั่วยุพวกสัตว์ป่าอารมณ์ร้อน หรือเข้าใกล้พวกมัน พวกเขาจะออกไปนอกหมู่บ้านได้เฉพาะตอนเที่ยงซึ่งเป็นเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น ส่วนในตอนเช้า กับตอนเย็นก็ต้องอยู่ใกล้กับหมู่บ้าน หรือเมืองเข้าไว้

"ข้าให้ค่าตอบแทนเป็นฟักทองได้ไหม ข้ามีผลที่ทั้งใหญ่ แล้วก็หวานด้วย โยนาห์ชอบกินมันใช่ไหมล่ะ"

ขอบคุณครับ เนียร์ตอบแล้วขอตัวจากมา ทุกคนในหมู่บ้านล้วนมีจิตใจดี ถ้าพวกเขาไม่ได้เป็นอย่างนั้น... สองพี่น้องกำพร้าคงได้ตายอยู่กลางป่า ถึงแม้พวกเขาจะมีบ้านที่พ่อแม่ทิ้งไว้ให้อยู่ก็ตาม

หลังจากวิ่งผ่านลานน้ำพุ เนียร์ก็เห็นบ้านของพวกเขา มีเงาของใครบางคนปรากฏอยู่ที่หน้าต่าง นั่นต้องเป็นโยนาห์แน่ๆ ครู่หนึ่งเธอก็หายไปจากจุดนั้น อาจด้วยเพราะเด็กหญิงรู้ถึงการกลับมาของเนียร์ก็ได้

"พี่คะ ยินดีต้อนรับกลับบ้านค่ะ"

โยนาห์กระโดดออกมาก่อนที่เนียร์จะทันได้เปิดประตู พลางหอบหายใจจากการวิ่งลงบันได

"พี่กลับมาแล้ว โยนาห์ พี่บอกเจ้าแล้วไงว่าตอนเช้าๆ หรือตอนเย็นๆ ห้ามวิ่งน่ะ"

"อืม"

โยนาห์มีร่างกายที่อ่อนแอ เด็กหญิงจะป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่ทุกครั้งที่อากาศเปลี่ยนแปลง และหากนอนดึกกว่าปรกติเธอก็จะมีไข้ หากตื่นเต้นเกินไปอาการไอก็จะกำเริบ ท้องของเธอก็ไม่ค่อยแข็งแรงนักจนทำให้ปวดท้อง หรืออาเจียนอยู่บ่อยๆ

"หนูขอโทษค่ะ หนูจะไอไม่หยุดอีกหรือเปล่าคะ"

"ถ้าได้กินอาหารเช้าดีๆ เจ้าก็ไม่เป็นอะไรหรอก รีบเข้าไปกันเถอะ วันนี้ข้างนอกมันหนาว แถมลมก็แรงด้วย อีกอย่าง พี่มีอะไรมาฝากเจ้าด้วยนะ"

เนียร์เอ่ยในตอนที่เขาปิดประตู โยนาห์เงยหน้าขึ้น

"อะไรเหรอคะ"

เด็กชายยื่นมือไปใกล้กับหูของน้องสาว ลูกไก่ที่ถูกกุมไว้ส่งเสียงร้องออกมาเบาๆ แต่เท่านั้นก็เกินพอแล้ว

"ลูกเจี๊ยบนี่นา!"

"ใช่แล้วล่ะ เอานี่ ลองอุ้มมันดูสิ"

เขาวางลูกไก่ลงบนมือของโยนาห์ มันดูแปลกใจที่จู่ๆ รอบๆ ก็สว่างขึ้นมาก็เลยหดหัวลง และเริ่มสั่นเทา

"มันนุ่มแล้วก็อุ่นจังเลย!"

"มันยังตัวเล็กอยู่ เพราะฉะนั้นเจ้าเลี้ยงมันไว้ในบ้านได้นะ"

"จริงๆ เหรอคะ"

"ตอนที่แม่ยังอยู่ พวกเราก็เคยเลี้ยงไว้เหมือนกัน"

เนียร์เคยมีหน้าที่ให้อาหารไก่ที่พวกเขาเลี้ยงไว้ในสวน แม่ของพวกเขามักยุ่งอยู่เสมอเพื่อประคับประคองครอบครัวด้วยตัวคนเดียว เธอก็เลยไม่มีเวลาทำหน้าที่นั้น

พ่อของทั้งสองทำงานในเมืองที่ไกลออกไปจนแทบไม่ได้กลับบ้าน และหลังจากที่เด็กหญิงเกิด เขาก็เสียชีวิตที่ต่างเมือง นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้เนียร์จำเรื่องของพ่อได้ไม่มากนัก ไม่ว่าจะตอนมีชีวิตหรือตอนที่จากไปแล้ว พ่อของเขาก็ไม่ได้ส่งผลวิถีชีวิตประจำวันของพวกเขามากนัก แม่ของเด็กชายปลูกผักแปลงเล็กๆ ในสวน แก้แบบ และซ่อมแซมเสื้อผ้าตามที่ชาวบ้านว่าจ้าง เท่าที่เขารู้ มือของแม่นั้นแทบไม่ได้หยุดพักเลย

และในตอนที่พวกมันได้หยุดนั่นก็คือเวลาสุดท้ายของแม่ เมื่อ 5 ปีก่อน ตอนนั้นเนียร์อายุได้ 10 ขวบ ส่วนโยนาห์เพิ่งอายุเพียงขวบครึ่ง มันเกิดขึ้นโดยไม่ทันให้ตั้งตัว ในตอนเย็นที่แสนธรรมดา แม่ของเด็กชายหันมาบอกให้เขาหยิบจานจากชั้นวางระหว่างที่เธอกำลังคนอาหารในหม้อ แล้วเธอก็ล้มลงในท่านั้น โดยไม่ทันทำความเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น เนียร์ก็รีบวิ่งไปที่ห้องสมุดของโปโปลา การต้องดูแลหนังสือจำนวนมากคงทำให้เธอน่าจะมีความรู้ในการวิธีจัดการเรื่องราวต่างๆ ได้ ไม่ใช่เฉพาะแค่เด็กชาย แต่ทุกคนในหมู่บ้านก็เชื่อเช่นนั้น

ถึงอย่างไรก็ตาม เพียงมองแม่ของเขาปราดเดียว โปโปลาก็ส่ายหน้าอย่างเศร้าสร้อย การจากไปอย่างกระทันหันของเธอเป็นเรื่องไม่น่าเชื่อ เธอตายไปอย่างปุบปับราวกับวัตถุที่แตกสลาย

ถึงจะเป็นหลังจากที่พี่สาวฝาแฝดของโปโปลาอย่างเดโวลาเข้ามาช่วยเคลื่อนย้ายแม่ของเขาใส่ลงในโลง ถึงจะเป็นหลังจากที่ชาวบ้านช่วยเตรียมงานศพ เด็กชายก็ยังไม่เข้าใจความจริงอยู่ดี เขาไม่แม้แต่จะร้องไห้ออกมาด้วยซ้ำ

ไม่สิ ระหว่างพิธีศพ เขารู้สึกเหมือนว่าตัวเองเกือบร้องไห้อยู่ครั้งหนึ่ง ภายในลำคอของเขาบีบรัดจนเจ็บ และภาพเบื้องหน้าของเขาก็เบลอไปหมด แต่เขาก็หยุดน้ำตาไว้ทันทีเนื่องจากโยนาห์ส่งเสียงร้องไห้ออกมาก่อน

โยนาห์ยังอายุน้อยเกินกว่าที่จะเข้าใจเรื่องความตายของผู้เป็นแม่ บางทีเธออาจแค่รู้สึกไม่สบายใจที่เห็นเนียร์กำลังจะร้องไห้ เมื่อเด็กชายยิ้มให้น้องสาว เธอก็หยุดร้อง เด็กหญิงเผยรอยยิ้มออกมาในตอนที่พี่ชายกำลังเช็ดน้ำตาบนใบหน้าของเธอ ตอนที่เห็นรอยยิ้มนั้นเขาก็เข้าใจได้ในทันที ตอนนี้พ่อ และแม่ของเขาจากไปแล้ว เขาคือคนๆ เดียวที่สามารถปกป้องโยนาห์ได้

หลังจากทานอาหารเช้าที่เหลือจากเมื่อวานซืน เนียร์ก็เตรียมตัวออกจากบ้าน

"พี่คะ หนูขอไปด้วยได้หรือเปล่าคะ"

พวกสมุนไพรสามารถพบได้ที่ด้านนอกหมู่บ้าน ในฤดูนี้มีจะพวกมันขึ้นที่แถวประตูตะวันออกเป็นจำนวนมาก และโยนาห์ก็เคยไปที่นั่นครั้งหนึ่ง

"หนูอยากไปช่วย..."

เธอเริ่มเอ่ย แต่ก็ต้องหยุดเพราะอาการไอ มันไม่ใช่การไอรุนแรงอะไร และเมื่อเนียร์วางมือลงบนหน้าผากของอีกฝ่าย เขาก็ไม่รู้สึกว่าเธอมีไข้ แต่ถึงอย่างนั้น...

"เอาไว้วันหลังก็แล้วกัน ถ้าเจ้าป่วยขึ้นมา ตอนกลางคืนจะแย่เอานะ"

"อือ...."

เมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อนเด็กหญิงมีไข้ขึ้นตอนที่เธอหลับ ตอนนี้ไข้ของเธอลดลงแล้ว และเธอก็ทานอาหารได้มากขึ้น แต่ความจริงที่เธอเริ่มกลับมาไออีกครั้งก็ทำให้น่าเป็นห่วงอยู่ดี

"เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน วันนี้เจ้าจะออกไปข้างนอกนิดหน่อยก็ได้นะ"

เขาแนะนำโยนาห์ด้วยความสงสาร และก็เป็นตามที่คาด น้องสาวของเขากลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง และยังบอกอีกว่าเธอต้องการไปซื้อของ

"ถ้าอย่างนั้นก็หัวหอม 1 ลูก กับโสม 1 ต้นนะ"

"หนูขอเป็นโสมต้นที่เล็กที่สุดนะคะ"

"ไม่ได้นะ ก็ท่านโปโปลาเคยบอกว่าโสมดีต่อร่างกายนี่"

แทนคำตอบ เนียร์ลูบหัว และเอาเหรียญบรอนซ์ใส่มือของอีกฝ่าย ยังไงวันนี้เขาก็จะได้ค่าตอบแทนจากการเก็บสมุนไพร เพราะฉะนั้นเขาก็เลยใช้เหรียญบรอนซ์จำนวนนี้ได้

อากาศข้างนอกดีมาก โยนาห์ดูมีความสุขหลังจากที่ไม่ได้ออกมาข้างนอกเป็นเวลานาน และพยายามวิ่งไปโดยมีตระกร้าอยู่ในมือ แต่อาการไอของเด็กหญิงคงแย่ลงกว่านี้ถ้าปล่อยให้เธอวิ่งมากเกินไป เนียร์จึงจับมือน้องสาวแน่น

"พี่คะ ประตูตะวันออกไม่ได้ไปทางนี้นีนา..."

"พี่จะไปส่งเจ้าที่น้ำพุ"

ทางจากบ้านของพวกเขาไปถึงน้ำพุเป็นทางลาดเล็กน้อย พวกเขาจึงไม่มีทางอื่นนอกจากวิ่งลงไป แต่ที่ปลายเนินมีผู้คนอยู่มาก แถมโยนาห์เองก็ชอบวิ่งโดยไม่ระวังตัวเท่าไร เขาอาจจะปกป้องอีกฝ่ายมากเกินไป แต่เด็กชายก็ไม่อาจทนเห็นโยนาห์ต้องทรมานจากการเป็นไข้ได้

"พี่คะ หนูได้ยินเสียงน้ำกระเด็นจากทางน้ำด้วยล่ะ ใช่ปลาหรือเปล่าคะ"

"ปลาในทางน้ำไม่กระโดดหรอก"

เขาเคยได้ยินมาว่ามีพวกปลาในทะเลที่ชอบกระโดด ทว่าปลาในทางน้ำของหมู่บ้านนั้นค่อนข้างนิ่งสงบกันมาก

"หนูอยากตักน้ำจังเลย"

"ไม่ได้นะ ถังใส่น้ำทั้งหนักแล้วก็อันตรายด้วย เดี๋ยวเจ้าก็ตกลงไปในทางน้ำหรอก"

ทางน้ำของหมู่บ้านเป็นแหล่งน้ำที่คอยหล่อเลี้ยงชีวิตประจำวันของที่นี่ เพื่อไม่ให้น้ำปนเปื้อนพวกเขาออกแบบให้มันมีจุดที่สามารถตกปลาได้ และพวกเด็กๆ ก็ถูกห้ามไม่ให้มาเล่นน้ำ นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้เนียร์ โยนาห์ และชาวบ้านส่วนมากว่ายน้ำไม่เป็น ดังนั้นหากมีใครตกลงไปทางน้ำก็จะไม่มีผู้ใดสามารถให้ความช่วยเหลือได้

"ถ้าหนูช่วยพี่ได้มากกว่านี้ล่ะก็..."

"โยนาห์ เจ้าจะไปซื้อของไม่ใช่เหรอ เท่านั้นเจ้าก็ช่วยพี่แล้วไงล่ะ"

โยนาห์พยักหน้าตอบอย่างเปี่ยมสุข และแล้วพวกเขาก็ได้ยินเสียงร้องเพลงดังมาจากบริเวณน้ำพุ โดยมีเสียงดนตรีเครื่องสายบรรเลงคลออยู่เบาๆ

"ท่านเดโวลานี่นา!"

ในวันที่อากาศแจ่มใส เดโวลาจะนั่งร้องเพลงพร้อมดีดเครื่องดนตรีชิ้นโปรดอยู่ที่บริเวณน้ำพุ เนียร์คิดว่าการจินตนาการถึงหมู่บ้านที่ไร้เสียงของเดโวลาดังให้ได้ยินนั้นช่างยากพอๆ กับการคิดถึงห้องสมุดซึ่งไม่มีโปโปลา

โยนาห์ดึงมือออกจากมือของพี่ชาย กระนั้นเนียร์ก็ไม่ได้ห้ามอะไรอีกฝ่าย พี่น้องฝาแฝดเดโวลา และโปโปลาเปรียบเสมือนทั้งแม่ และพี่สาวสำหรับเด็กหญิง เธอชื่นชมทั้งสองคนมาก

"อรุณสวัสดิ์จ้ะ โยนาห์ ไข้ของเจ้าลดลงแล้วเหรอ"

เดโวลาหยิกแก้มของโยนาห์ ก่อนจะขยี้ผมของเธอ

"ค่ะ ตอนนี้หนูกำลังจะไป..."

คำพูดของเด็กหญิงชะงักด้วยอาการไอแห้งๆ แล้วเดโวลาจึงเงยหน้าขึ้นมองเนียร์ซึ่งเพิ่งเดินมาถึง

"ไข้ของนางลดลงเมื่อ 3 วันที่แล้วน่ะครับ แต่นางยังไออยู่เลย"

"เข้าใจล่ะ คงไม่ใช่เรื่องน่าวิตกอะไรมากเนอะ"

มันไม่ใช่การไอแบบมีเสมหะ หรือแบบที่มีเสียงเหมือนตอนหายใจ มันเป็นการไอที่แห้งมาก มันไม่ได้ดูเจ็บปวด ทว่าการที่โยนาห์ไม่เคยไอแบบนี้มาก่อนก็ทำให้เนียร์อดรู้สึกกังวลไม่ได้

"ถ้าเจ้าซื้อของเสร็จแล้วก็ไปหาโปโปลาด้วยนะ เมื่อคืนนางปรุงยาแก้ไอให้หญิงชราที่ร้านขายอาวุธ นางน่าจะพอมียาเหลืออยู่นิดหน่อยน่ะ"

เมื่อนึกถึงรสของยาที่โปโปลาปรุง โยนาห์ก็ขมวาดคิ้วมุ่น เมื่อเห็นดังนั้นเดโวลาจึงกล่าวต่อ

"ถ้าเจ้าเป็นเด็กดียอมกินยาแล้วล่ะก็ ข้าคิดว่าโปโปลาจะต้องอ่านหนังสือให้เจ้าฟังเป็นรางวัลแน่ๆ เลย"

"จริงเหรอคะ นางจะอ่านเรื่องเกี่ยวต้นไม้ใหญ่ต้นนั้นให้หนูฟังเหรอคะ"

"อืม"

"ถ้าอย่างนั้นหนูจะไปหาท่านโปโปลา เป็นเด็กว่าง่ายดื่มยา แล้วก็จะให้นางอ่านหนังสือให้ฟังล่ะ"

"เจ้าต้องไปซื้อของก่อนไม่ใช่หรือไง"

"อะ จริงด้วย!"

ไปก่อนนะคะ เด็กหญิงเอ่ย จากนั้นจึงหันหลังจากไป ต้องขอบคุณรอยยิ้มใจดีของเดโวลาจริงๆ แล้วเนียร์ก็เดินทางไปที่ประตูตะวันออก หลังจากผ่านบ้านของตัวเองอีกครั้ง และวิ่งขึ้นเนินไป เด็กชายก็เห็นประตูตะวันออก กับยามคุ้นหน้า หน้าตาง่วงนอนซึ่งกำลังบิดขี้เกียจอยู่

"อรุณสวัสดิ์ครับ"

"อา อรุณสวัสดิ์ ออกไปข้างนอกก็ระวังตัวดีๆ นะ ก่อนหน้านี้มีคนเห็นพวก Shade ใกล้ๆ หมู่บ้านด้วยล่ะ"

Shade คือสิ่งที่อันตรายกว่าพวกสัตว์ป่าตามธรรมชาติมากๆ พวกมันเป็นศัตรูร่างสีดำที่คอยโจมตีใส่ผู้คนโดยไม่เลือกหน้า และพวกมันก็เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ชาวบ้านไม่อยากออกไปข้างนอก

"วันนี้อากาศดี เพราะฉะนั้นพวกมันคงจะระวังตัวมากแน่ๆ"

พวก Shade ไม่ถูกกับแสง ผู้คนก็เลยไม่ค่อยได้เห็นพวกมันในวันที่มีแดดออก หรือช่วงเวลากลางวันสักเท่าไร แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อถึงวันที่มีเมฆมาก หรือช่วงตอนเย็นที่แสงแดดเริ่มอ่อนลง ไม่ว่าเป็นในร่มเงา หรือจุดที่มืดตรงไหนก็ล้วนสามารถเกิดเรื่องอันตรายขึ้นทั้งนั้น

Shades ไม่ถูกกับแค่แสงแดดเพียงอย่างเดียว ไม่ว่าแสงจากคบเพลิงจะส่องสว่างเท่าไรก็ไม่ส่งผลกระทบกับพวกมัน แต่เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้นกลับไม่มีใครทราบ ผู้คนไม่ค่อยรู้เรื่องราวเกี่ยวกับพวก Shade มาตั้งแต่ไหนแต่ไร ทั้งเรื่องที่ว่าพวกมันเป็นสิ่งมีชีวิตหรือเปล่า พวกมันกินอะไร พวกมันเพิ่มจำนวนได้อย่างไร หรือว่าพวกมันมีเหตุผลมากแค่ไหน

โชคดีที่ไม่มีข่าวลือเกี่ยวกับการปรากฏตัวของ Shade ที่บริเวณประตูตะวันออก แต่แถวนั้นก็มีแพะป่าอาศัยอยู่มาก พวกมันมีนิสัยโมโหร้ายเหมือนกับพวกแกะบนทุ่งหญ้า ทั้งยังอันตรายมาก ถ้าใครเข้าไปใกล้พวกมันโดยไม่ระวังให้ดีคงก็โอกาสที่จะถูกพวกมันเอาเขาเสียบ หรือโดนเตะด้วยกีบ เพื่อไม่ให้เผลอไปกระตุ้นพวกแพะซึ่งกำลังกินหญ้าอยู่ เนียร์จึงเริ่มเก็บสมุนไพรในระยะห่างที่ปลอดภัย

เขาได้ยินมาว่าเมื่อนานมาแล้วมนุษย์เคยฝึกแกะ และแพะมาก่อน แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่าหากไม่มีเวทมนต์พวกเขาคงทำเช่นนั้นไม่ได้แน่ๆ หรืออย่างน้อยเด็กชายก็เชื่อเช่นนั้น

พูดถึงเรื่องนั้นแล้วเขาก็เคยได้ยินมาก่อนเหมือนกันว่าครั้งหนึ่งตอนกลางคืนจะถูกความมืดปกคลุม ถึงจะฟังดูไม่น่าเป็นไปได้ทว่ามันก็เป็นความจริง ไม่อย่างนั้นพวก Shade คงไม่มีตัวตน หากดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าไป และโลกต้องตกอยู่ในความมืด พวก Shade ก็สามารถทำเรื่องที่ตนปรารถนาได้ และมนุษย์ก็คงจะตายเพียงในชั่วพริบตาเดียว

หากความมืดมิดมาเยือนในทุกๆ วันคงเป็นเรื่องที่ค่อนข้างน่ากลัวไม่น้อย กระนั้นถ้าโลกนี้ไม่มี Shade อยู่ก็คงไม่เป็นอะไรมากนัก แต่แล้วเนียร์ก็หยุดคิดเกี่ยวกับเรื่องพวกนั้น ช่างไม่มีประโยชน์เลยที่จะมาจินตนาการว่าเมื่อก่อนมนุษย์เคยมีชีวิตอยู่กันอย่างไร มันไม่ได้ทำให้พวกเขาใช้ชีวิตได้ง่ายลง แล้วมันก็ไม่ได้ทำให้อาการของโยนาห์ดีขึ้นด้วย

เมื่อเก็บสมุนไพรได้เต็มกระเป๋า และมีเห็ดอยู่เต็มตระกร้า เด็กชายก็ก้มลงมองเท้าของตน เขาทำงานเสร็จเร็วกว่าที่คาดไว้ ก็เลยยังพอมีเวลาก่อนที่ตอนเย็นจะมาถึง ต้นไม้ซึ่งมีผลสีแดงที่โยนาห์ชอบอยู่ไม่ไกลจากที่นี่นัก เขายังมีเวลาอีกเหลือเฝือที่จะไปเก็บมัน แต่เขากลับเปลี่ยนใจ แล้วมุ่งหน้ากลับไปยังประตูตะวันออก วันนี้กลับบ้านเร็วหน่อยดีกว่า และเขาเองก็อยากไปหาโยนาห์ด้วย เด็กชายคิดเช่นนั้น

"เจ้ามาช้าไปหน่อยนะ โยนาห์เพิ่งกลับไปเมื่อกี้นี้เอง" โปโปลายิ้มด้วยรอยยิ้มสุขุม ขณะที่รับกระเป๋าสมุนไพรไป "ข้ายินดีที่จะอ่านหนังสือให้นางฟังอีกเล่มนะ แต่ว่าพอดีมีจดหมายมา แล้วก็..."

"ไม่เป็นไรหรอกครับ ข้าต่างหากที่ต้องขอโทษที่มารบกวนตอนที่ท่านกำลังยุ่งกับงาน"

งานของโปโปลานั้นมีอยู่หลายอย่าง ถึงแม้อาชีพหลักของเธอจะเป็นการจัดการห้องสมุด แต่เธอก็มักคอยดูแลความเป็นอยู่ของชาวบ้านร่วมกับเดโวลาซึ่งเป็นพี่สาวของเธอ เดโวลา กับโปโปลาทำหน้าที่ตั้งแต่การคอยดูแลเด็กๆ ที่เกิดในหมู่บ้าน รวมไปถึงการฝังร่างของผู้ที่จากไป

การเป็นคนรอบรู้ทำให้โปโปลาเป็นที่เชื่อถือของหมู่บ้านรอบๆ เมื่อพวกเขามีปัญหาเกิดขึ้นในหมู่บ้านของพวกตน พวกเขาก็มักส่งจดหมาย หรือฝากข้อความมาปรึกษาหาความรู้จากหญิงสาวเสมอ

"อาการไอของโยนาห์ค่อนข้างต่างจากปรกติที่นางเคยเป็นนะ"

ถ้าอย่างนั้นสิ่งที่เขากลัวก็เป็นความจริงสินะ แต่ในเมื่อโปโปลาสังเกตเห็นมันแล้วก็คงไม่เป็นอะไร ความกังวล และความโล่งใจที่เกิดขึ้นนั้นกำลังขัดแย้งกันในตัวของเนียร์

"ข้าก็เลยไม่ได้ให้นางดื่มยาไปน่ะ เพราะว่าน่าจะดีกว่าถ้าเราคอยสังเกตอาการต่อไปก่อน"

"ถ้าอย่างนั้นเมื่อเช้าข้าก็ไม่น่าให้นางออกจากบ้านเลยแฮะ"

วันนี้กินอาหารเย็นเร็วหน่อยคงจะดีกว่า ทำเตียงของเด็กหญิงให้อุ่น แล้วให้เธอเข้านอนเร็วๆ... ระหว่างที่เนียร์กำลังวางแผนในหัว โปโปลาก็หัวเราะออกมาเบาๆ

"เจ้าเองก็เครียดมาทั้งวันแล้ว วันนี้ก็รีบนอนแล้วเลิกกังวลซะนะ"

"แต่ว่า..."

"ไม่เป็นไรหรอก เจ้าทำดีแล้วล่ะ"

เมื่อได้ยินความคิดเห็นของโปโปลา เนียร์ก็รู้สึกสบายใจขึ้น พวกเขาพี่น้องติดหนี้ฝาแฝดทั้งสองมากกว่าใครในหมู่บ้านจริงๆ

หลังจากออกมาจากห้องสมุด เด็กชายก็นำเห็ดไปส่ง และเอาฟักทองกลับบ้าน เขาจะทำฟักทองต้มหวานสำหรับมื้อเย็น โยนาห์จะต้องดีใจแน่ๆ เนียร์ซึ่งกำลังจมอยู่ในความคิดเงยหน้าขึ้นมองหน้าต่างบนชั้นสอง แต่เขากลับไม่เห็นโยนาห์ตรงนั้น เวลาที่เด็กชายกลับมาเธอจะปรากฏตัวที่หน้าต่างเสมอนี่นา แล้วมันก็ทำให้เขารู้สึกไม่ดีขึ้นมา

"โยนาห์!"

เขาเตะประตู และแทรกตัวเข้าไปในบ้าน

"พี่คะ"

โยนาห์ซึ่งกำลังอุ้มลูกไก่ไว้ในมือเงยหน้าขึ้นมองพี่ชายด้วยสีหน้าปรกติ เนียร์แทบอยากทรุดลงไปนั่งบนพื้นด้วยความโล่งใจ ที่โยนาห์ไม่ได้อยู่บนชั้นสองเป็นเพราะเธอกำลังดูแลลูกไก่อยู่นั่นเอง

"เป็นอะไรไปเหรอคะ"

"ไม่มีอะไรหรอก"

เมื่อไม่กี่นาทีก่อน ในหัวของเนียร์เต็มไปด้วยภาพของโยนาห์ที่หมดสติ หรือกำลังไออย่างทุกข์ทรมาน เขาจึงหัวเราะกับความตื่นตระหนกไปเองของตน

"มันกินได้เยอะเลยล่ะค่ะ!"

หลังจากลูบหัวลูกไก่อย่างมีความสุข เด็กหญิงก็นำมันกลับเข้าไปในกรง เธอให้การดูแลมันเป็นอย่างดีราวกับว่ามันเป็นสิ่งที่แตกหักได้ง่าย

"ท่านโปโปลาบอกว่าหนูไม่จำเป็นต้องดื่มยาแก้ไอ แต่ว่าหนูควรเข้านอนในเตียงอุ่นๆ ให้เร็วขึ้น แล้วหลังจากนั้นก็ อืม..."

โยนาห์มักตามติดเนียร์ไปทั่วหลังจากที่เขากลับบ้านมา เด็กหญิงจะเล่าเรื่องยาวเหยียดที่เธอทำระหว่างวันเพื่อที่ทั้งสองจะได้ใช้เวลาร่วมกันมากขึ้น เนียร์วางกระเป๋าลงอย่างเบาใจ แล้วฟังน้องสาวซึ่งกำลังจ้ออยู่เบื้องหลังระหว่างที่ตนจุดเตาไฟในครัวไปด้วย แต่แล้วคำพูดของเธอก็ชะงักลงเนื่องจากอาการไอแห้งๆ นั่น มันดูแย่กว่าตอนหน้านี้ซะอีก

"เจ้าพูดมากไปน่ะ โยนาห์ อย่าฝืนเลย งดใช้เสียงหน่อยดีกว่านะ"

ขณะที่เขากำลังจะหันหลังกลับไปนั่นเองเด็กชายก็ได้เสียงอาเจียน ดูเหมือนว่าเด็กหญิงจะไอมากเกินไปจนขย้อนออกมา เขากำลังจะรีบเข้าไปอยู่ข้างๆ เธอ แต่ก็ต้องตัวเย็นเป็นน้ำแข็งเสียก่อน ตอนนี้มือทั้งสองข้างซึ่งกำลังปิดปากของโยนาห์มีสีดำเปื้อนอยู่ กลิ่นที่คลุ้งขึ้นมานั้นต่างจากกลิ่นของอาเจียน และแล้วเขาก็รู้ได้ว่ามันคือกลิ่นของเลือด

"พี่... คะ... หนู... เจ็บ..."

ดูเหมือนโยนาห์กำลังจะร้องไห้ เธอพยายามลุกขึ้นยืน แต่ก็ไอออกมาอีกครั้ง เลือดสีดำไหลออกมาจากระหว่างนิ้ว และหยดลงบนพื้น ช่างดูเหมือนกับว่ามันมีชีวิตเหลือเกิน

ลางร้ายบางอย่างแล่นขึ้นมาให้หัวของเขา มันคือสิ่งที่ถูกเรียกว่ามัจุราชสีดำ โรค Black Scrawl



"ยังไงก็ตาม ตอนนี้นางก็อาการดีขึ้นแล้วล่ะ"

โปโปลาสบตาเนียร์ และส่งสัญญาณเรียกให้เขาตามเธอออกมาจากห้อง เดโวลาซึ่งกำลังอยู่ข้างๆ โยนาห์พยักหน้าให้เขา

เขาจำไม่ได้เลยว่าหลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง จำได้ลางๆ ว่าโยนาห์บอกว่าเจ็บหลังในตอนที่เขาอุ้มเธอออกไปข้างนอก ก่อนจะได้พบกับเดโวลาซึ่งบอกให้พวกเขากลับมาที่นี่ เด็กชายเริ่มตั้งสติได้หลังจากที่โปโปลานำยาให้โยนาห์ ส่วนเดโวลาก็ช่วยเขาทำความสะอาดคราบเลือดบนเตียงไปแล้ว ไม่สิ เขาไม่ได้ทำอะไรเลย มีแค่เดโวลา กับโปโปลาเท่านั้นที่จัดการทุกอย่าง

ตอนที่พ่อของเขาตาย เขาก็ยังมีแม่อยู่ และในตอนที่อีกฝ่ายเสียชีวิต เขาก็ยังคงมีโยนาห์ แต่ถ้าโยนาห์เป็นอะไรไปอีกคนล่ะ เขารู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจมลงไปในหลุมขนาดใหญ่ ก่อนที่เขาจะหยุดคิดไปมากกว่านั้น

"ทำไมล่ะ... ทำไมโยนาห์ถึงได้..." หลังจากเดินลงบันไดมา และได้อยู่กับโปโปลาเพียงลำพัง เขาก็ไม่อาจหยุดตัวเองไม่ให้ถามอีกฝ่าย "นางยังเด็กอยู่เลยนะ เป็นเพราะว่าข้าดูแลนางไม่ดีพออย่างนั้นเหรอครับ เพราะว่านางได้กินแต่ของแย่ๆ เหรอ"

"ไม่ใช่ ไม่ได้เป็นเพราะเจ้าหรือว่าเพราะอาหารหรอก โรค Black Scrawl มันก็เป็นอย่างนี้แหละ"

แม้แต่โปโปลาก็ไม่สามารถระบุสาเหตุของโรคอันน่ากลัวอย่าง Black Scrawl ได้ มันไม่ใช่โรคที่ติดต่อจากสัตวส์สู่มนุษย์ ไม่ใช่โรคทางพันธุกรรมที่ถ่ายทอดจากพ่อแม่สู่ลูก มันไม่มีอะไรเกี่ยวกับเรื่องสุขภาพหรือพฤติกรรมการใช้ชีวิตใดๆ เลย แม้แต่คนที่แข็งแรงก็สามารถป่วยเป็นโรคนี้ได้อย่างง่ายดาย

"ตามปรกติแล้วโรคจะเริ่มแสดงอาการจากการไอ และมีไข้ ส่วนมากคนก็เลยเข้าใจผิดคิดว่าเป็นไข้หวัดธรรมดากันน่ะ"

"ท่านรู้มาก่อนแล้วใช่ไหมครับ"

บางทีเดโวลาอาจจะรู้ เพราะว่าเธอบอกให้โยนาห์มาหาโปโปลาหลังจากที่ได้ยินเสียงไอของเด็กหญิง และโปโปลาซึ่งไม่ให้ยาอะไรเธอเลย ก็กลับบอกให้เขาคอยเฝ้าดูอาการต่อ บางทีทั้งสองอาจจะรู้อยู่แล้วว่ายาธรรมดาไม่สามารถทำอะไรได้

"ข้าหวังว่าตัวเองจะคิดผิดไป แต่ว่าพวกข้าเคยเห็นเหยื่อของโรค Black Scrawl มาก่อน ก็เลย..."

เสียงของโปโปลาแผ่วลงจนกลายเป็นเสียงกระซิบ และตาของเธอก็หลุบลงมองพื้น

"อะไร... จะเกิดขึ้นกับโยนาห์บ้างเหรอครับ"

เขาไม่ถามว่าน้องสาวของตนเหลือเวลาอยู่เท่าไร เนียร์รู้ดีว่าโรค Black Scrawl ไม่มีวันรักษาหาย และมีเพียงความตายเท่านั้นที่รออยู่ ทุกคนต่างหวาดกลัวโรคนี้ จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่ทุกคนจะพอมีความรู้เกี่ยวกับมัน

"มันก็ขึ้นกับแต่ละคนน่ะ แต่ไข้ อาการไอ และการเจ็บปวดจะมีขึ้นอีกแน่ๆ โยนาห์บอกว่านางเจ็บหลัง แต่ความจริงแล้วความเจ็บมันมาจากกระดูกต่างหาก บางคนก็เจ็บขา และบางคนก็เจ็บที่แขน"

จากระยะแสดงอาการของโรค ความเจ็บจะค่อยๆ กระจายไปทั่วทั้งร่างกาย จนในที่สุดผู้ป่วยก็จะไม่สามารถขยับตัว และทำได้เพียงนอนอย่างทรมาน อีกอย่างการไอออกมาเป็นเลือดก็จะทำให้ร่างกายของพวกเขาอ่อนแอลงจนเร่งอาการให้เร็วขึ้นด้วย

"เมื่ออักขระสีดำปรากฏขึ้นบนร่างกาย พวกเขาก็เหลือเวลาอีกไม่มากแล้วล่ะ..."

"มีอะไรที่ข้าพอจะทำได้หรือเปล่าครับ"

เขารู้ว่ามันเป็นคำถามที่โง่มาก เขารู้ดี แต่ก็ไม่อาจห้ามตัวเองไม่ให้ถามได้

"ถ้าเจ้าให้ยากับนาง อย่างน้อยมันก็พอจะช่วยระงับความเจ็บปวดให้นางได้บ้าง แต่ไม่ว่าอย่างไรเจ้าก็ไม่สามารถทำให้โรคหายขาดได้หรอก"

"อย่างน้อยท่านก็ช่วยหยุดความเจ็บได้ใช่ไหมครับ ถ้าอย่างนั้น..."

เขาไม่อยากให้โยนาห์ต้องทรมานมากไปกว่านี้ อย่างน้อยเขาก็ยังพอสามารถทำให้เธอเจ็บปวดน้อยลง แต่โปโปลากลับส่ายหน้าช้าๆ

"ยาที่ช่วยระงับความเจ็บจากโรค Black Scrawl ต้องนำเข้ามาจากที่อื่นน่ะ มันไม่เหมือนกับอาการไอ หรือไข้หวัดทั่วไปที่เราจะหาวัตถุดิบได้จากรอบๆ หมู่บ้าน"

ในอีกความหมายหนึ่งก็คือมันเป็นยาที่ราคาแพงมาก เนียร์คือคนที่รับหน้าที่ไปเก็บสมุนไพรสำหรับปรุงยารักษาอาการไอ และเป็นไข้ ทุกครั้งที่จำเป็นต้องใช้เขาก็เลยได้รับมันจากโปโปลาเป็นประจำ ถึงอย่างไรก็ตามมันก็ไม่เหมือนกับกรณีของยาที่ต้องนำเข้ามาจากที่อื่น

"ถึงยังไง.... ถ้าเพื่อโยนาห์แล้วล่ะก็"

โปโปลามองเด็กชายอย่างเศร้าๆ และเธอก็ไม่ได้พูดอะไรอีก



เขาจะทำทุกอย่างเพื่อโยนาห์ แม้ความรู้สึกในฐานะพี่ชายของเขาจะบริสุทธิ์มากแค่ไหน แต่ความเป็นจริงก็ไม่ได้สวยงามเลยแม้แต่น้อย

ไม่ใช่ว่าเขาไม่มีเงินเก็บอยู่เลย หลังจากที่แม่ของเขาจากไป เขาก็ได้เจอจดหมาย และเงินของพ่อซึ่งถูกรักษาไว้อย่างดี เนียร์ไม่ได้นำมันออกมาใช้เนื่องจากต้องการสำรองมันไว้เผื่อเวลาที่จำเป็น แม่ของเขาเองก็คงคิดอย่างนั้นจึงเก็บมันเอาไว้ จำนวนของมันไม่ได้มากมายนัก แต่การมีมันสำรองไว้สำหรับสถานการณ์ฉุกเฉินก็ทำให้เขารู้สึกอุ่นใจ นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมตอนที่เขาทราบราคาของยา เขาจึงคิดว่าตนจะต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว

ยาได้ผลดีมาก ถึงโยนาห์ยังคงไอ และมีไข้เล็กน้อย แต่การไอด้วยโรค Black Scrawl ก็ไม่เกิดรุนแรงอีก เมื่อเทียบกับการไอที่ทำให้โยนาห์ต้องอดหลับทุกครั้งที่อากาศเปลี่ยนแล้วมันก็ดีกว่า ตราบเท่าที่อาการเจ็บปวดน้อยลง ร่างกายของเธอก็จะได้พักฟื้นมากขึ้น

แต่ปัญหามันก็อยู่ตรงนี้นี่เอง เด็กหญิงจำเป็นต้องดื่มยาตัวเดิมต่อไป หากเธอหยุดยาเมื่อไรความเจ็บก็จะแสดงอาการรุนแรง เขาจึงจำเป็นต้องหาเงินมาใช้ซื้อยาให้โยนาห์ เขาจะต้องเก็บเงินให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

"พี่คะ... พี่จะออกไปแล้วเหรอคะ"

โยนาห์เอ่ยอย่างงัวเงียขณะที่กำลังขยี้ตา ทั้งๆ ที่เนียร์พยายามเคลื่อนไหวให้เกิดเสียงน้อยที่สุดแล้วเธอก็ยังรู้สึกตัวว่าเขาตื่น

"วันนี้พี่จะไปเก็บเฟิร์นน่ะ ก็เลยต้องออกไปแต่เช้า เจ้านอนต่อได้นะโยนาห์"

"พี่จะไปที่ที่มีแกะน่ากลัวเหรอคะ" ท่าทางของโยนาห์เศร้าหมองลง ต้นเฟิร์นขึ้นบนที่ราบทางตอนเหนือ มันไม่ได้เป็นเพียงบ้านของพวก Shade เท่านั้น แต่มันยังเต็มไปด้วยแกะป่าอีกด้วย "ขอโทษนะคะที่หนูป่วย พี่ก็เลยต้อง..."

"ไม่ต้องกังวลไปหรอก" เนียร์เอ่ยแทรกขึ้นมา แล้วยิ้มให้น้องสาว "พี่ชายของเจ้าไม่แพ้แกะขี้รำคาญพวกนั้นหรอกหน่า เมื่อปีที่แล้วพี่ก็เอาเนื้อของพวกมันมาได้ไม่ใช่หรือไง"

เขาไม่ได้โกหกเพื่อทำให้โยนาห์สบายใจ เขาแข็งแกร่งกว่าเมื่อปีที่แล้ว และยังเคลื่อนไหวเร็วขึ้นด้วย ตราบใดที่ยังมีอาวุธอยู่ในมือเขาก็สามารถล่าแกะได้ อีกอย่างการที่เขาได้ใช้อาวุธก็เป็นการพิสูจน์ด้วยว่ามันเป็นงานที่ยากพอตัว

"ถ้าอย่างนั้น พี่ไปก่อนนะ"

รักษาตัวด้วยนะคะ โยนาห์พยายามจะโบกมือให้พี่ชาย แต่ก็ต้องหยุดลงเพราะอาการไอ

ก่อนจะไปที่ราบ เนียร์ก็เดินไปทางประตูใต้ ชาวหมู่บ้านมากกว่าครึ่งยังคงนอนหลับอยู่ และยังไม่มีใครปรากฏให้เห็นตามร้านค้าบนถนน จึงมีเพียงเสียงฝีเท้าของเด็กชายที่ดังสะท้อนไปมาบนถนนอันเงียบสงัด ไม่นานนักเขาก็ได้ยินเสียงกังหันน้ำหมุน และเสียงร้องของแม่ไก่ เขาคิดถูกจริงๆ ด้วยว่าภรรยาของเจ้าของไก่กำลังเก็บไข่อยู่

"อรุณสวัสดิ์ครับ"

เนียร์ร้องเรียกอีกฝ่ายจากตำแหน่งที่ปลอดภัยจากการเผลอไปเหยียบไข่ไก่ซึ่งซ่อนตัวอยู่ในหญ้า

"อรุณสวัสดิ์จ้ะ เนียร์ วันนี้ตื่นเช้ากว่าปรกติเหรอ"

"เออ... มีอะไรพอให้ข้าทำหรือเปล่าครับ..."

ของานพิเศษเพิ่มอีกแค่สักงานก็ได้ เขาจะได้เก็บเงินสำหรับจ่ายค่ายาของโยนาห์ได้เพียงพอ ด้วยเหตุนั้นเขาจึงเริ่มถามหางานจากชาวบ้านไปทั่ว

"ขอโทษด้วยนะจ้ะ แต่ว่าตอนนี้เรามีคนช่วยพอแล้วล่ะ ข้าไม่มีอะไรจำให้เจ้าช่วยทำเลย"

ภรรยาเจ้าของไก่กล่าวด้วยน้ำเสียงขอโทษขอโพย สองสามีภรรยาเลี้ยงไก่แค่เท่าที่พวกเขาจะดูแลกันเองไหว เนื่องจากหญ้ากับแมลงไม่สามารถใช้เลี้ยงไก่ได้มากนัก หากเลี้ยงเพิ่มล่ะก็พวกเขาจะต้องซื้ออาหารให้กับพวกมัน ซึ่งพวกเขาก็ไม่ได้ร่ำรวยพอที่จะจ่ายเสียด้วย

"อ๋อ ถ้าเจ้าผ่านไปที่ Seafront ล่ะก็ ยังไงก็ช่วยเอาเปลือกหอยมาให้ข้าหน่อยนะ"

"เปลือกหอยเหรอครับ"

"ถ้าบดเปลือกหอยให้ไก่มันจะออกไข่สวยขึ้นน่ะ"

"ถ้าข้าไปที่นั่นข้าจะเอากลับมาให้แน่ครับ แต่ว่าตอนนี้ข้ายังไปไม่ได้นะครับ"

"ได้สิ ข้าไม่รีบหรอก แล้วแต่ที่เจ้าสะดวกเลย"

Seafront อยู่ไกลเกินกว่าที่จะไปทำงานแค่เพียงอย่างเดียว อีกทั้งเนียร์ก็ไม่ชอบที่นั่นนัก เขาเคยไปที่แห่งนั้นครั้งหนึ่ง แต่สำหรับเขาแล้วมันก็มีเพียงความทรงจำแย่ๆ เท่านั้น...

เด็กชายเดินกลับไปยังถนนที่เต็มไปด้วยร้านค้า แล้วมุ่งหน้าไปยังประตูเหนือ ตอนนี้ก็ยังไม่มีชาวบ้านปรากฏตัวให้ได้เห็น ปรกติที่ประตูเหนือจะมียามอยู่ 2 คน แต่ตอนนี้กลับมีเพียงคนเดียวเท่านั้น เนียร์เข้าไปถามหางานตามปรกติ กระนั้นอีกฝ่ายก็ส่ายตอบกลับมา

"ข้าจะถามหางานจากทุกคนที่ผ่านมาให้ก็แล้วกัน ไว้เจ้ามาใหม่นะ"

"ขอบคุณครับ"

"แต่อย่าคาดหวังมากล่ะ"

เด็กชายเข้าใจคำพูดของอีกฝ่าย ทุกคนในหมู่บ้านล้วนมีจิตใจดี แต่ขณะเดียวกันพวกเขาก็ค่อนข้างยากจน ที่เมืองอื่นพวกเขาอาจนำพืชพันธ์ และปลาในหมู่บ้านไปใช้เป็นอาหารไก่ หรือเหยื่อตกปลาได้ แต่ที่หมู่บ้านนี้พวกมันคือแหล่งอาหารที่สำคัญมาก

อาหารไม่ใช่สิ่งเดียวที่พวกเราคลาดแคลน แต่พวกเขายังขาดแรงงานอีกด้วย ไม่มีใครมีเงินมากพอจะจ้างคนอื่น แม้แต่คนที่คนข้างรวยหน่อยก็รัดเข็มขัดแน่น และใช้จ่ายเพียงแค่ค่าตัดเย็บเสื้อผ้า หากไม่นับเจ้าของร้าน และยามแล้ว ผู้ใหญ่ที่เป็นผู้ชายทุกคนต่างก็ออกจากเมืองไปหางานทำ และพ่อของเนียร์ก็คือหนึ่งในนั้น

นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ "งาน" ซึ่งชาวบ้านมอบหมายให้เนียร์ค่อนข้างใกล้เคียงกับการกุศล พวกเขาจะคิดหางานเล็กน้อยให้เด็กชายได้ทำเพื่อแลกกับอาหาร และเงิน เนียร์รู้ดีว่าเป็นเรื่องยากที่จะหาเงินได้มากขึ้นในหมู่บ้านแห่งนี้

ถึงอย่างไรก็ตามเนียร์ก็เพิ่งอายุได้ 15 ปี ซึ่งยังไม่มากพอที่เมืองอื่นจะว่าจ้างให้ทำงาน เขาอยากโตให้เร็วกว่านี้ เขาอยากหาเงินได้มากกว่านี้ ถ้ายังเป็นอย่างนี้ต่อไปเขาอาจหาเงินมาใช้เป็นค่าอาหารสำหรับวันพรุ่งนี้ไม่ได้... รวมไปถึงค่ายาของโยนาห์ด้วย

หลังจากใช้เวลาในการเก็บเฟิร์นบนที่ราบไปไปได้ครึ่งวันเขาก็กลับมาที่หมู่บ้าน ยามคนนั้นช่วยถามหางานจากคนที่ผ่านประตูเหนือตามที่ให้สัญญาไว้ แต่ก็ไม่มีใครที่มีงานให้เนียร์ได้ช่วยทำ เด็กชายเดินไปคุยกับเดโวลา ด้วยความที่เธอร้องเพลงที่บาร์ หญิงสาวจึงรู้จักผู้คนที่เข้าออกโรงแรมเป็นอย่างดี เหมือนกับที่ผู้คนมักไปหาโปโปลาเพื่อให้เธอใช้ความรอบรู้ช่วยเหลือ พวกเขาก็ไปหาเดโวลาเพื่อหาคนช่วยรับฟังปัญหาของพวกตนเช่นกัน ถ้ามีใครต้องการความช่วยเหลือเธอจะต้องรู้แน่ๆ ทว่าวันนี้แม้แต่เดโวลาเองก็ส่ายหัว

"นี่ เนียร์ มีหญิงชราคนหนึ่งกำลังหาบ้านอยู่แหละ พอดีว่าลูกชายของนางจะกลับมาพร้อมกับภรรยาน่ะ"

"ท่านเดโวลา ท่านหมายถึง..."

"ถ้าเจ้าขายบ้านล่ะก็ เจ้าก็จะมีเงินพอสำหรับค่าใช้จ่ายไปอีกพักหนึ่ง ที่ห้องสมุดยังพอมีห้องเหลืออยู่นิดหน่อย ดังนั้นพวกเจ้าสองคนไปพักอยู่ที่นั่นได้นะ"

เด็กชายไม่เคยมีความคิดที่จะขายบ้านของตนมาก่อน มันทั้งเก่าแล้วก็เล็ก เขาจึงไม่แน่ใจว่ามันจะขายได้เท่าไร แต่มันก็น่าจะเพียงพอสำหรับค่ายาของโยนาห์ อย่างน้อยเขาก็ไม่ต้องกังวลเรื่องการหายาให้น้องสาวอีก

"เจ้าจะลองคิดเรื่องนี้ดูไหม"

เขารู้ดีว่าควรจะตอบรับอีกฝ่ายไป ตอนนี้เขาเหลือเงินเก็บอีกไม่มาก การขายบ้านแล้วขอไปอาศัยในห้องสมุดของโปโปลาย่อมเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด สมองของเขาเข้าใจเรื่องนั้น แต่กลับไม่สามารถตอบรับมันได้ บ้านของพวกเขาคือสถานที่สำคัญของโยนาห์ ผู้ใช้เวลาส่วนมากอยู่ในนั้นเพราะร่างกายไม่แข็งแรง มันคือสิ่งสุดท้ายที่เชื่อมโยงพวกเขากับแม่เอาไว้ เด็กชายขายเสื้อผ้า กับของส่วนตัวของเธอเพื่อเป็นค่ายาไปก่อนหน้านี้แล้ว ไม่มีอะไรเหลือเพื่อให้นึกถึงเธอได้อีกนอกจากบ้าน ไม่มีทางที่เขาจะขายมันไปหรอก

"ที่จริงแล้ว ข้า..."

เนียร์ไม่สามารถพูดให้จบประโยคได้  และได้แต่หลุบตาลงต่ำ กระนั้นเดโวลาก็เข้าใจ

"เข้าใจแล้วล่ะ"

"ขอโทษนะครับ ทั้งๆ ที่ท่านอุตสาห์บอกข้าเพื่อประโยชน์ของข้าเองแท้ๆ..."

"ไม่ต้องกังวลไปหรอก ข้าคิดอยู่แล้วล่ะว่าเจ้าต้องตอบอย่างนั้น ข้าต่างหากที่ควรเป็นฝ่ายที่ต้องขอโทษ"

เนียร์เปิดประตูอันหนักอึ้ง แล้วออกจากบาร์ วันนี้ไม่มีงานให้เขาทำแล้ว แถมเขาก็ยังไม่รู้ด้วยว่าจะทำอะไรในวันพรุ่งนี้ เด็กชายรู้สึกเศร้าขึ้นมา และระหว่างทางกลับบ้านอารมณ์ที่ไม่ดีของเขาก็ยิ่งแย่ลงอีก เมื่อเขาเห็นแม่วัยสาวคนหนึ่งกำลังดึงลูกของตนไว้ พร้อมบอกว่า "อย่าไปทางนั้นนะ" เขารับรู้มาก่อนแล้วว่าบรรดาแม่ในหมู่บ้านได้สั่งห้ามลูกๆ ของพวกตนไม่ให้มาเที่ยวเล่นใกล้กับบ้านของเขา ทุกคนต่างหวาดกลัวว่าเด็กๆ จะติดโรค Black Scrawl จากโยนาห์

แน่นอนว่าทุกคนในหมู่บ้านรู้ดีว่าโรค Black Scrawl ไม่ได้เป็นโรคติดต่อ พวกเขาจึงไม่ได้รังเกียจที่จะให้เนียร์เข้าใกล้พวกตน และปฏิบัติกับเขาเช่นปรกติ แต่อย่างไรก็ตามพวกชาวบ้านก็ยังกังวลอยู่ดี ถ้าเกิดโรค Black Scrawl ติดต่อได้ขึ้นมาล่ะ ในเมื่อพวกเขายังมืดแปดด้านเกี่ยวกับสาเหตุการเกิดโรค พวกเขาก็ไม่อาจนิ่งเฉยเป็นหินได้

ในตอนที่กำลังพยายามก้าวเท้าต่อ เนียร์ก็นึกอะไรบางอย่างออก ตอนเช้าเขาลืมรดน้ำที่สวนก่อนที่เขาจะออกจากบ้านมานี่นา

เพื่อเก็บเงินอีกเล็กน้อยสำหรับค่ายาของโยนาห์ เด็กชายที่ไม่อยากใช้มันซื้อจ่ายค่าอาหารจึงเริ่มเพาะปลูกในสวนซึ่งแม่ของเขาทำไว้ตอนที่เธอยังมีชีวิตอยู่ ถอนหญ้าออก และขุดดินเป็นร่อง เขาหย่อนเมล็ดพืชที่มีอยู่เล็กน้อยลงไปในนั้น ขอให้ยังทันด้วยเถอะ เนียร์อ้อนว้อนในใจขณะที่เขากำลังวิ่งกลับบ้าน เขากระโดดผ่านรั้วที่ชำรุดด้วยแรงทั้งหมด แต่เมื่อเห็นสวนของตน เขาก็ถึงกับเข่าทรุด ต้นอ่อนที่เริ่มงอกขึ้นมาเหี่ยวเฉาไปแล้ว เขาเคยได้ยินมาว่าการปลูกพืชบนดินแบบนี้เป็นเรื่องที่ไม่ง่ายนัก แต่ก็ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าทุกต้นจะแห้งตายอย่างง่ายดายเพียงแค่เขาลืมรดน้ำพวกมันครั้งเดียว

เมื่อลองนึกดูแล้วแม่ของเขาค่อนข้างเข้มงวดกับการรดน้ำต้นไม้ ถึงแม้เธอจะให้เนียร์ดูแลไก่ เธอก็ไม่เคยให้เขาเข้ามายุ่งกับสวน ต้นไม้ของแม่เองก็ตายก่อนที่จะเก็บเกี่ยวไปมากเช่นกัน สุดท้ายแล้วการที่เด็กสองคนจะใช้ชีวิตกันตามลำพังในหมู่บ้านยากจนแห่งนี้คงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ บางทีเขาอาจต้องขายบ้านไปจริงๆ ในเมื่อไม่มีอะไรในบ้านที่เขาสามารถนำไปแลกเป็นเงินได้อีกต่อไปแล้ว...

หลังจากจมอยู่ในความสิ้นหวัง ความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นในหัวของเขา ยังมีบางอย่างที่เขาขายได้นี่นา ใช่แล้ว ยังเหลืออยู่อีกอย่างหนึ่ง เด็กชายพยายามลุกขึ้นยืน แต่ก็ต้องล้มลง เขารู้สึกว่าร่างกายหนักอึ้งไปหมด เขาจะต้องรีบกลับบ้าน ทำอาหารให้โยนาห์ เตรียมพร้อมสำหรับวันพรุ่งนี้... เขาคิดสิ่งที่ตนต้องทำซ้ำไปมาครั้งแล้วครั้งเล่า แต่เนียร์ก็ยังไม่สามารถขยับร่างกายได้



"พี่คะ วันนี้พี่จะไปที่ไหนเหรอคะ"

โยนาห์มองพี่ชายด้วยสายตาเป็นห่วง บางทีเธออาจจะรู้แล้วก็ได้ว่าเขาจะเดินทางไปไกลกว่าที่เคย

"พี่จะไปทำธุระที่ Seafront น่ะ"

โยนาห์เข้ามาจับแขนเสื้อของเนียร์เงียบๆ บางทีเธออาจรับรู้ถึงอะไรบางอย่าง

"มีคนอยากให้พี่ไปเอาเปลือกหอยมาน่ะ ถ้าเอามันให้พวกไก่กินมันจะออกไข่สวยขึ้น นางบอกว่าเราต้องเอามาบดก่อน แต่พี่ก็อดสงสัยไม่ได้เหมือนกันว่าพวกมันจะกินจริงๆ เหรอ"

มันไม่ใช่เรื่องโกหก เขาดีใจที่เมื่อวานตนได้พูดกับภรรยาเจ้าของไก่ ทั้งหมดนี่เป็นเรื่องจริง แต่ถึงอย่างนั้นโยนาห์ก็ยังไม่ปล่อยแขนเสื้อของเขา

"แค่นั้นเหรอคะ"

"ไม่ใช่แค่นั้นหรอก ยังมีงานอื่นอีกนะ ถ้าไปแค่เก็บเปลือกหอยล่ะก็คงเสียเวลาแย่เลย" คราวนี้เขาโกหก เขาไม่ได้มีงานอะไรอื่นทั้งนั้น "หญิงชราที่ร้านขายดอกไม้ขอให้พี่ช่วยไปซื้อหัวดอกไม้ให้นางด้วย หัวดอกทิวลิปมันมีขายแต่ที่ Seafront เท่านั้นน่ะ"

เขาน่าจะพูดมากไปแล้ว แต่เขาก็ไม่สามารถหยุดได้ ถ้าเขาไม่พูดโกหกออกไปล่ะก็ เขาคงปิดบังต่อไปไม่ได้อีก และโยนาห์ก็คงรู้ทุกอย่าง

"แล้วก็ยังมีผู้ชายที่ร้านขายวัตถุดิบ..."

"คืนนี้หนูต้องอยู่คนเดียวหรือเปล่าคะ"

เขารู้สึกโล่งอกเมื่อเห็นโยนาห์ก้มหน้าลง เธอมองไม่ออก และก็แค่เหงา เธอแค่จำเรื่องที่เขาไปทำงานจนไม่ได้กลับบ้านเมื่อครึ่งปีก่อนได้จนรู้สึกกระวนกระวายใจเท่านั้น

Seafront อยู่ไกลออกไปมาก อีกอย่างเขาก็ต้องผ่านพวก Shade บนที่ราบทางใต้ด้วย ดังนั้นเขาจึงเดินทางได้แค่ตอนที่ดวงอาทิตย์ยังส่องแรงกล้า ไม่มีทางที่เขาจะสามารถกลับมาได้ภายในวันนี้ ถึงแม้เขาจะพยายามรีบแค่ไหนก็ตาม

"พี่มีเรื่องหลายอย่างที่ต้องทำ เพราะฉะนั้นพี่คงกลับมาทันทีไม่ได้หรอก เจ้าเคยอยู่คนเดียวมาก่อนแล้วนี่ แล้วตอนนี้เข้าก็โตกว่าตอนนั้นแล้วด้วย"

เขากล่อมให้น้องสาวอยู่ที่บ้านโดยอ้างว่ามันเป็นการช่วยเหลือตน ในที่สุดอีกฝ่ายก็ยอมผละจากแขนเสื้อของเขา

เนียร์ปิดประตูหลังจากที่เขาหันหลังให้กับความกังวลใจของโยนาห์ เขาออกวิ่งไปโดยไม่หันกลับมามองอีกด้วยความกลัวว่าหากหยุดล่ะก็เขาคงไม่สามารถทำมันได้สำเร็จ เขาวิ่งจนหายใจแทบไม่ทัน แล้วจึงชะลอฝีเท้าลง ตอนนี้เขาออกมาจากหมู่บ้านแล้ว เด็กชายเดินโดยพยายามควบคุมการหายใจ เขาจำเป็นต้องออมแรงเอาไว้ พวก Shade เคลื่อนไหวได้รวดเร็ว ถ้าเขาไม่สังเกตเห็นมันแต่ไกลๆ แล้ววิ่งให้เร็วที่สุดแล้วล่ะก็ เขาก็คงไม่สามารถหนีรอดจากพวกมันได้

ที่ราบทางตอนใต้มี Shade ร่างยักษ์กำลังเดินไปมาอยู่ด้านหน้าของเขา เด็กชายรู้เส้นทางที่ต้องไป และจุดที่สามารถหยุดพักได้มากกว่าคราวก่อน แต่เท้าของเขากลับหนักอึ้งกว่าตอนนั้น

ครั้งแรกที่เขามาทำธุระที่ Seafront คือเมื่อครึ่งปีก่อน ตอนนั้นเขาได้รับหน้าที่ส่งจดหมายด่วนมาให้ใครสักคนในเมืองแห่งนี้ ซื้อหัวดอกทิวลิปที่ร้านขายดอกไม้ และซื้อยางธรรมชาติจากร้านขายวัตถุดิบ

ด้วยความรู้สึกกระวนกระวายใจที่ต้องทิ้งโยนาห์เอาไว้ เด็กชายจึงค่อยเพิ่มๆ ระยะทางห่างจากหมู่บ้านทีละน้อย เขาเห็นเงาร่างของ Shade ตัวใหญ่อยู่ไกลๆ แล้วออกวิ่งข้ามที่ราบด้วยแรงทั้งหมดที่มี ทะเลที่ได้เห็นครั้งแรกนั้นสวยงามมาก แต่แล้วเขาก็ต้องรีบปิดปากเนื่องจากกลิ่นคาวปลาที่คลุ้งทั่วทั้งเมือง เมื่อเขาเดินไปรอบๆ ทั้งผม และผิวของเขาก็เหนียวไปหมด ซึ่งหญิงที่ร้านขายดอกไม้อธิบายว่ามันเป็นเพราะลมทะเล

หลังจากซื้อหัวดอกไม้ และวัตถุดิบแล้วเด็กชายก็เดินเข้าไปในเขตที่อยู่อาศัย ทางเดินอันซับซ้อน และทัศนวิสัยที่ย่ำแย่เนื่องจากโครงสร้างของอาคารทำให้สถานการณ์เลวร้ายลง เขาแค่เข้ามาส่งจดหมาย แต่เขากลับไม่สามารถหาทางออกไปได้

นี่เวลากี่โมงแล้วนะ หรือว่าผู้คนที่นี่เขาไม่ชอบออกมาเดินข้างนอกกัน เนียร์ไม่เจอใครที่พอจะถามทางได้เลย เด็กชายไม่รู้ว่าควรเดินไปทางไหน และเขาเดินมาที่นี่ได้อย่างไร สุดท้ายเมื่อไร้ทางออกอื่น และเริ่มเหนื่อยจากการเดิน เขาก็นั่งพักที่หน้าประตูบ้านหลังหนึ่งที่เขาไม่รู้จักเจ้าของ

"เจ้ามาทำอะไรอยู่ตรงนี้น่ะ" เสียงเรียกด้วยความไม่พอใจดังขึ้น เนียร์จึงรีบลุกออกจากประตู "เจ้าไม่ใช่เด็กแถวนี้นี่ หลงทางมาหรือไง"

เนียร์รู้สึกโล่งใจที่ได้เจอคนที่น่าจะบอกทางให้เสียที เขาจึงไม่ระวังตัวตอนที่ชายคนนั้นเปิดประตูออกมา ถึงอีกฝ่ายจะถามว่าเขามาคนเดียวหรือเปล่า เด็กชายก็ยังพยักหน้าตอบอย่างใสซื่อ แต่เมื่อชายคนนั้นยิ้ม มันก็ทำให้เนียร์เริ่มก้าวถอยหลัง ทว่าอีกฝ่ายกลับคว้าแขน ปิดปาก แล้วลากตัวเขาเข้าไปในบ้าน เนียร์พยายามจะวิ่งหนีแต่ก็ไม่สามารถดิ้นหลุดได้ ชายคนนี้แข็งแรงมาก

"เจ้าไม่อยากได้เงินเหรอ"

เสียงกระซิบที่หูทำให้เด็กชายขนลุกซู่ แล้วเนียร์จึงออกแรงทั้งหมดสะบัดแขนของอีกฝ่าย ชายคนนั้นหัวเราะเสียงดังตามหลังเขามา

"ถ้าเจ้าอยากได้เงินเมื่อไรก็มาที่นี่ได้นะ"

เขาวิ่งออกมาด้วยแรงทั้งหมดที่มีเพื่อหนีจากเสียงๆ นั้น เขาวิ่ง แล้วก็วิ่ง จนในที่สุดเขาก็ออกมาจาก Seafront ก่อนจะทันได้รู้ตัว แต่เสียงของชายคนนั้นก็ยังคงตามติดในหัวของเขา เนียร์จึงวิ่งต่อไป



โชคดีที่มีชาวบ้านไม่มากนักที่ต้องการของจาก Seafront และถึงแม้พวกเขาจะต้องการมัน พวกเขาก็บอกให้เด็กชายไปตามแต่เวลาที่สะดวก ขอบคุณที่เขาลืมทุกอย่างที่เกิดขึ้นได้ภายในครึ่งปี เรื่องการเผชิญหน้าอันเลวร้ายนั่น และเสียงหัวเราะของชายคนนั้น

ถึงอย่างไรก็ตามตอนนี้เขาก็มาที่นี่อีกครั้งแล้ว เท้าของเขาหนักขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่ที่เห็นเงาลางๆ ของเมือง Seafront ปรากฏต่อสายตา เขาหวังว่าตัวเองจะหลงทางอีกครั้งเพื่อที่จะได้ไม่ต้องไปถึงจุดหมาย อย่างไรก็ตามราวกับประชดประชันกัน บ้านหลังนั้นกลับอยู่ใกล้กับทางเข้าเมือง คราวนี้เขาจึงไม่หลงทาง

ตอนนี้พอมองดูแล้วมันก็เป็นบ้านที่ใหญ่หลังหนึ่ง ชายคนนั้นคงร่ำรวยไม่น้อย เสียงหัวเราะที่ดังก้องขึ้นในหูอีกครั้งทำให้เด็กชายตัวแข็ง ถ้าเขาเข้าไปข้างในแล้วเขาคงไม่สามารถกลับมาได้อีก เขารู้ตัวว่าตนเองกำลังมองหาทางหนีกลับ ยอมแพ้เถอะ ไม่เป็นอะไรหรอก เจ้าทนมากกว่านี้ไม่ไหวหรอก เสียงนั้นสะท้อนอยู่ในตัวของเขา

ไม่สิ ถ้าเขากลับไปตอนนี้ แล้วโยนาห์จะเป็นอย่างไรกัน

โยนาห์คือคนที่หล่อเลี้ยงจิตใจของเขามาตลอด 5 ปีที่ผ่านมา เมื่อคิดว่าเขาจะทำอะไรให้เธอกินในวันพรุ่งนี้ เด็กชายก็สามารถเลิกกังวลถึงอนาคต เมื่อเขาวุ่นกับการดูแลเธอ เขาก็สามารถลืมการจากไปของแม่ได้ ความจริงที่เขายังคงเป็นเด็กอยู่ช่วยตอกย้ำถึงความสำคัญของโยนาห์

"นี่ก็เพื่อโยนาห์นะ"

หลังจากที่กล่าวคำนั้นเสียงดัง จิตใจของเขาก็พร้อมแล้ว เนียร์พลักประตูเข้าไปอย่างเงียบๆ



โยนาห์มีสุขภาพดีขึ้นเรื่อยๆ ด้วยอาการเจ็บที่น้อยลงทำให้เธออยากอาหารมากขึ้น และสามารถไปให้อาการไก่ในสวน หรือไปห้องสมุดได้ แม้อาการไอยังคงอยู่ แต่โชคดีที่เธอไม่ไอออกมาเป็นเลือดอีกแล้ว

เด็กหญิงรู้สึกเครียดเมื่อพี่ชายต้องไปที่เมือง Seafront บ่อยๆ แต่ในอีกแง่หนึ่งถึงแม้เขาจะรู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่ค่อยๆ แตกสลายอยู่ข้างในตัวเอง แต่ในเมื่อมันสามารถจ่ายค่ายาของโยนาห์ได้ เขาก็คิดว่าเป็นอย่างนี้ก็ดีแล้ว เขาทำให้โยนาห์กลับมายิ้มอีกครั้ง แค่เขาได้ปกป้องอีกฝ่ายเช่นนี้ก็ไม่เป็นไรหรอก ตราบเท่าที่ความจริงยังคงเป็นเช่นนั้น เขาก็สามารถให้อภัยตนเองได้...

เนียร์เดินพร้อมกับความคิดมากมายในหัว เขาเหนื่อยเหลือเดิน เขาอยากนอนหลับโดยไม่ต้องคิดอะไรทั้งนั้น นั่นคือสิ่งที่เกิดทุกครั้งหลังจากที่เขากลับจากเมือง Seafront เมื่อไรกันที่... การกลับมายากกว่าเดินหน้ากันนะ

เด็กชายหยุดเดินเมื่อรู้สึกเหมือนมีใครบางคนเรียกชื่อของเขาไว้ เดโวลานั่นเอง เขามาถึงน้ำพุโดยไม่ทันรู้ตัว

"เป็นอะไรไปน่ะ รู้สึกไม่ดีเหรอ"

"ข้าแค่กำลังคิดอะไรอยู่น่ะครับ"

"อย่างนั้นเหรอ อะ... เจ้ามัดผมข้างหลังด้วยนี่"

"มัน... เกะกะน่ะครับ"

เขาเริ่มมัดผมแทนที่จะปล่อยมันให้สยายเช่นแต่ก่อน ตั้งแต่เมื่อตอนนั้น

"อืม เจ้านี่มีฝีมือเหมือนกันนะ" เดโวลาเอ่ยอย่างประทับใจ และเอื้อมมือมาที่ผมของเขา มันเป็นการกระทำที่ไร้เจตนาใดๆ เขารู้ เขารู้เรื่องนั้นดี "เนียร์"

เขาปัดมือของเดโวลาออกก่อนจะทันได้รู้ตัว ในนาทีที่เธอสัมผัสผมของเขา ความทรงจำเมื่อคืนก็กลับเข้ามาในหัว ถ้าเขาไม่พูดอะไรสักอย่างออกไป เดโวลาจะต้องว่าอะไรเขาแน่ๆ แต่เด็กชายกลับไม่สามารถบังคับให้ตัวเองพูดอะไรออกมาได้

หลังจากที่เขาไป Seafront บ่อยๆ เขาก็เกลียดการถูกคนอื่นจับผม ไม่ใช่แค่เท่านั้น เขายังไม่สามารถปล่อยให้ผมละบ่าของตัวเอง แม้จะไม่อยากแต่เขาก็จดจำมันได้ดี วิธีที่ชายคนนั้นกระชากผมของเขา และสิ่งที่เขาใช้กำลังทำหลังจากนั้น เขาพยายามที่จะลืมมัน แต่ประสบการณ์เหล่านั้นกลับเหมือนถูกฝังลึกในประสาทสัมผัสทั้ง 5 ของเขา และจะถูกกระตุ้นให้ตื่นขึ้นอย่างผิดที่ผิดเวลาเพื่อทรมานเด็กชาย

เนียร์คิดที่จะตัดผมของตนออก แต่เขาก็คงถูกถามเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาคิดว่าตัวเองคงไม่สามารถตอบอะไรกลับไปได้ และก็คงนึกถึงชายคนนั้นทุกครั้งที่ถูกถาม มันจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เขามัดมันเอาไว้เพื่อที่มันจะได้ไม่มาโดนคอหรือไหล่ของเขาอีก

"ขอโทษ ขอโทษนะ คงไม่มีใครอยากให้คนอื่นไปยุ่งกับผลงานของตัวเองหรอก"

ข้าต้องขอโทษด้วยครับ คำพูดที่ในที่สุดเขาก็สามารถเปล่งออกมาได้ช่างฟังดูเหมือนเสียงของตัวประหลาดในความคิดของเขา

"จริงด้วยสิ" เดโวลาที่หันไปปรับสายเครื่องดนตรีของเธออีกครั้ง แต่หญิงสาวก็นึกอะไรออกในนาทีสุดท้าย "โปโปลาเรียกหาเจ้าให้ไปหานางก่อนกลับด้วยแน่ะ แล้วก็..."

"แล้วก็..."

"อย่าฝืนเกินไปนะ"

เนียร์ยิ้มโดยไม่กล่าวอะไร เดโวลาไม่รู้อะไรเลย เธอก็แค่ห่วงที่เขามีท่าทีเหนื่อยๆ ถ้าเธอรู้ล่ะก็ เธอคงไม่สนใจเขาขนาดนี้ แล้วมองเขาอย่างเหยียดหยามราวของเหม็นเน่าแน่นอน เขาคิดว่าโปโปลาก็คงพูดสิ่งเดียวกัน แต่เขากลับคิดผิด โปโปลาไม่ได้ถามเรื่องท่าทีของเขา หรือไม่ได้บอกให้เขา "อย่าฝืนเกินไป" เลย

"มีงานที่ข้าอยากให้เจ้าทำน่ะ" เขารู้สึกถึงความรู้สึกผิดในน้ำเสียงของเธอ มันเต็มไปด้วยความจริงใจ ความกังวล และความสงสารในเวลาเดียวกัน "แต่มันเป็นงานที่อันตรายมาก ข้าควรให้งานนี้กับเจ้าหรือเปล่านะ..."

โปโปลาลังเล และหยุดพูดเพียงเท่านั้น

"งานแบบไหนเหรอครับ"

"ฆ่าพวก Shade น่ะ"

เขานึกถึง Shade ร่างยักษ์ที่เห็นบนที่ราบตอนใต้ เขาอาจจะหยุดการเคลื่อนไหวของมันไว้ไม่ได้ ไม่แม้แต่จะป้องกันตนเอง กระนั้นความคิดที่จะปฏิเสธงานชิ้นนี้ก็ไม่อยู่ในหัวของเขา

"แน่นอนว่าเจ้าไม่ได้ทำคนเดียวหรอก มีคนอีก 3 คนจากเมืองแถวๆ นี้จะมาร่วมงานด้วยน่ะ"

รวมเนียร์ไปด้วยก็จะมี 4 คน พวกเขาจะต้องสังเกตการณ์รังของ Shade ด้วยจำนวนคนเท่านั้น มีความเป็นไปได้สูงที่ Shade จากที่ราบทางเหนือก็จะมาจากที่แห่งนี้ด้วย โชคดีที่พวกมันตัวเล็ก และคนธรรมดาเพียงคนเดียวก็สามารถสอดแนมมันสำเร็จ โปโปกล่าวเช่นนั้น

"เจ้าไปกับพวกผู้ใหญ่ แล้ว Shade ก็ไม่ได้แข็งแกร่งขนาดนั้น แต่ว่า..."

โปโปลาดูตัดสินใจลำบากมากว่าเนียร์เสียอีก ตราวเท่าที่ Shade รวมตัวกันก็ไม่สามารถรับรองความปลอดภัยของเขาได้ เขาอาจต้องเตรียมตัวที่จะได้รับบาดเจ็บ และหากโชคไม่ดีล่ะก็ เขาก็อาจเสียชีวิตได้

"แต่ข้าคงไม่มีทางปล่อยพวกมันเอาไว้หรอกครับ"

หากจำนวนของ Shade บนที่ราบทางตอนเหนือเพิ่มขึ้น หมู่บ้านก็จะตกอยู่ในอันตรายอย่างแน่นอน

"ข้าจะไปครับ ยังไงข้าก็ต้องจ่ายเงินค่ายาของโยนาห์อยู่แล้วด้วย"

ตราบเท่าที่งานนี้ทำให้เขาไม่ต้องไปที่ Seafront เขาก็ไม่ห่วงอันตรายอะไรทั้งนั้น

"ถ้าอย่างนั้นข้าต้องฝากเจ้าด้วยนะ มันเป็นงานอันตรายก็จริง แต่ว่าค่าตอบแทนดีมากเลย"

เนียร์รู้สึกเหมือนหูฝาดไปตอนที่ได้ยินจำนวนเงิน ถ้าเขาได้เงินจำนวนนั้นมาล่ะก็ เขาก็ไม่ต้องไปที่บ้านของชายคนนั้นกี่ครั้งนะ กี่ครั้งแล้วที่เขาต้องทนกับความอัปยศนั่น ความต่างของราคาที่จ่ายให้กับผู้ที่ฆ่า Shade และร่างกายของเขาทำให้อดตกใจไม่ได้

"ยังไงข้าก็จะทำครับ ข้าไม่สนหรอกว่ามันจะอันตรายหรือเปล่า"

"รักษาตัวดีๆ ด้วยนะ"

ดวงตาของโปโปลาไม่ได้เต็มไปด้วยความโศกเศร้าหรือว่าความเจ็บปวด แต่มันก็ไม่ได้มีความสงสารหรือเห็นใจอยู่ เมื่อเนียร์มองดวงตาคู่นั้นเขาก็รับรู้ถึงมัน มันคือความดำมืดที่ต่างออกไป

โปโปลา หรือบางทีอาจจะเดโวลาคงรู้ว่าเขาหาเงินมาจ่ายค่ายาแสนแพงนั้นได้อย่างไร และเขาต้องจ่ายอะไรเพื่อให้ได้มันมา พวกเธอรู้ นั่นจึงเป็นเหตุผลที่เขาได้รับการแนะนำงานที่ค่าตอบแทนสูง ถึงแม้ว่ามันจะอันตรายก็ตาม...

ในตอนที่ได้รู้ว่าความลับของตนแตกแล้ว ใบหน้าของเด็กชายก็ร้อนผ่าวด้วยความอับอาย แต่ขณะเดียวกัน เขาก็รู้สึกขอบคุณทั้งเดโวลา และโปโปลาที่ยังปฏิบัติต่อเขาเหมือนเดิม ทำไมเขาถึงคิดว่าตัวเองจะถูกดูถูกนะ พวกเธอไม่มีทางทำอย่างนั้นอยู่แล้ว

"ขอบคุณนะครับ ท่านโปโปลา "

อย่างไรก็ตาม ความมืดในดวงตาของโปโปลากลับไม่ได้หายไป



จุดนัดพบอยู่ที่ประตูเหนือ มีผู้คนไม่มากที่จะมาเสียเวลาอ่อยอิ่งที่หมู่บ้านนี้ ดังนั้นเนียร์จึงรู้โดยทันทีว่าชาย 2 คนต้องถูกจ้างมาทำงานเดียวกับเขาแน่ ถึงอย่างนั้นพวกเขากลับไม่คิดมาก่อนว่าพวกตนจะต้องมาร่วมงานกับเด็กอายุน้อย พวกเขาจึงขมวดคิ้วแน่นเมื่อเห็นเนียร์ และบอกให้เด็กชายกลับไป

"เด็กอย่างเจ้าควรไปจากที่นี่ซะ เราไม่ได้ไปเล่นสนุกกันนะเฟ้ย รู้หรือเปล่า"

"ข้ารู้ครับ เพราะฉะนั้น..."

"งั้นก็ไปซะ ถ้าเกิดมีเด็กมาตายต่อหน้าล่ะก็ข้าคงนอนไม่หลับแน่"

ต้องทำยังไงเขาถึงจะทำให้อีกฝ่ายยอมให้เขาไปด้วยได้นะ เขาไม่อยากเสียงานดีๆ อย่างนี้ไป และในตอนที่เนียร์กำลังพยายามจะสร้างจุดยืนให้ตัวเองนั่นเอง เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมา

"พวกเจ้าเถียงอะไรกันอยู่น่ะ"

เขารู้จักเสียงนี้ ถึงแม้เขาจะไม่อยากจำมันได้ก็ตาม เขารู้ว่าอีกฝ่ายเป็นใครถึงแม้เขาจะไม่ได้หันกลับไปมองเลยด้วยซ้ำ

"เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้ยังไงกัน อ๋อ เจ้าเป็นคนของหมู่บ้านนี่สินะ"

เขาคือชายจากเมือง Seafront คำถามของเนียร์ว่าเขาคือใครได้ถูกตอบในตอนที่เด็กชายเห็นดาบของอีกฝ่าย มีดาบมากมายถูกจัดแสดงในบ้านของเขา ชายคนนั้นซื้อมันมาเพื่อสะสม และทุกชิ้นต่างก็เคยผ่านการฆ่ามาก่อน คนที่มีรสนิยมทางเพศบิดเบี้ยวคงจะชอบสะสมอะไรประหลาดๆ สินะ

ดูเหมือนชายอีกสองคนจะรู้จักกับชายจากเมือง Seafront จากการสนทนาทำให้เนียร์รู้ว่าพวกเขาร่วมงานแบบนี้กันบ่อยๆ ชายคนนั้นคงรับงานฆ่า Shade เพื่อหาโอกาสใช้ของสะสมของตน

"เจ้ารู้จักเด็กนี่ด้วยเหรอ"

"อ๋อ รู้จักดีเลยล่ะ จริงไหม" ชายจากเมือง Seafront ส่งยิ้มอย่างมีเล่ห์นัยให้เนียร์ "เจ้าเด็กนี้มันไม่เป็นภาระหรอก มันแข็งแรงพอจะหนีจากผู้ใหญ่ได้ แล้วมันก็ไม่ได้เคลื่อนไหวเชื่องช้าด้วย"

เขากำลังพูดถึงตอนที่พวกเขาได้พบกันครั้งแรก เนียร์เบือนหน้าหนี แต่ชายคนนั้นก็ยังมองมาทางเขาด้วยความสนใจ

"อย่าถูกหน้าสวยๆ นี่หลอกสิ เจ้านี่มันหัวแข็ง... แถมยังถึกทนดีอีกต่างหาก" มือ และเท้าของเนียร์พลันแข็งทื่อ เด็กชายไม่สามารถแม้แต่จะปัดมือที่วางลงบนไหล่ของเขาออก "มันจะต้องช่วยทำประโยชน์ได้มากแน่ๆ ที่จริง ข้าก็อยากจะเห็นมันร้องไห้หวาดกลัวตอนที่ได้เห็นพวก Shade ด้วยน่ะ"

"ถ้าเจ้าว่าอย่างนั้น... งั้นพาเขาไปกับพวกเราด้วยก็ได้"

เขาไม่สามารถอธิบายความเกลียดชังที่มีต่อชายคนนั้นออกมาเป็นคำพูด แต่อย่างไรก็ดีก็ต้องขอบคุณคำพูดของอีกฝ่ายที่ทำให้เนียร์ยังคงทำงานต่อไปได้ นี่มันช่างน่าอดสูเสียจริง

ทุกอย่างนี่ก็เพื่อโยนาห์นะ เพื่อปกป้องเธอ...

เด็กชายกำหมัดแน่นแล้วเอ่ยคำนั้นซ้ำในหัวใจ ก่อนที่เขาจะรู้สึกถึงแรงกดดันมาจากด้านหลังศีรษะของตน

"จ้องอย่างนั้นหมายความว่ายังไง ห่ะ" ไม่สิ มันไม่ได้รุนแรงพอที่จะเรียกว่าแรงกดดันได้ กระนั้นมันก็ทำให้เนียร์ไม่กล้าขยับตัว "อย่าคิดทำอะไรแผลงๆ นะเว้ย ข้าเคยสอนเจ้าแล้วนี่ ใช่ไหม"

ชายคนนั้นกระซิบเสียงต่ำเพื่อไม่ให้ชายอีกสองคนได้ยิน เสียง และลมหายใจที่ราวกับยาพิษของอีกฝ่ายพัดเข้าสู่โสตประสาทของเนียร์ เขาเม้มปากแน่น นิ้วของชายคนนั้นสอดเข้าไปใต้ที่รัดผมของเด็กชาย ก่อนที่มันจะถูกดึงออก และผมของเขาก็ร่วงหล่นลงมา อีกฝ่ายจากไปพร้อมกับเสียงหัวเราะ

เนียร์อยากจะมัดผมของตนใหม่เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่เขาก็ยังไม่สามารถทำเช่นนั้น และในตอนที่เขาก้มลงหยิบที่มัดผม เขาก็พบว่ามือของตนเองกำลังสั่นอย่างไม่อาจควบคุม



รังของพวก Shade อยู่ใกล้เทือกเขาบนที่ราบ เขารู้ว่าเส้นทางขดเคี้ยวนี้จะนำพวกเขาไปสู่ถ้ำแห่งหนึ่ง ซึ่งไม่ไกลเกินกว่าที่ Shade ที่หวาดหลัวแสงแดดจะหลบหนีเข้ามา

เมื่อพวกเขาเข้าใกล้ทางเข้าของทางเดินบนเขา มือของเด็กชายก็กำแน่นด้วยความกังวล นี่เป็นครั้งแรกที่เขาจับดาบหลังจากที่เคยไปล่าแกะกับพวกผู้ใหญ่ในหมู่บ้าน ในตอนนั้นเขาถือดาบที่ทื่อๆ เพื่อทุบพวกสัตว์ แต่คราวนี้มันต่างออกไป โปโปลาให้เขายืมดาบเก่าๆ เล่มหนึ่งจากห้องเก็บของของห้องสมุดเพื่อมาทำงานนี้โดยเฉพาะ

เนียร์ไม่รู้ว่าดาบเล่มที่เคยถูกใช้ฆ่ามนุษย์จะมีหน้าตาเป็นอย่างไร แต่ในชั่วขณะที่เขาเห็นคมดาบมืดสนิทนั่น เขาก็รู้โดยสัญชาตญาณทันทีว่ามันคือคราบเลือด แต่แม้มันจะเป็นอาวุธอันตราย แต่ตอนนี้ดาบก็อยู่ในมือเขาอย่างเป็นธรรมชาติราวกับว่ามันรอคอยให้เขาหยิบมันขึ้นมา

"ลมมันชื้นแปลกๆ นะ"

ชายที่อยู่ข้างหน้าหันหน้ามา ในตอนที่เขากล่าวคำนั้นอากาศก็เย็นลง และอึมครึ้มขึ้นราวกับว่าฝนกำลังจะตกลงมา ทว่าท้องฟ้าเบื้องบนกลับยังเป็นสีฟ้าสดใส และไม่มีเมฆบดบัง

"รีบทำงานให้มันจบๆ แล้วกลับกันเถอะ ถ้ารอให้ฝนตกล่ะก็พวกเราได้ยุ่งแน่"

ยังเหลือระยะอีกหน่อยกว่าจะถึงถ้ำ พวกเขาจึงเร่งฝีเท้าเร็วขึ้น ถึงแม้จะไม่มีเมฆ อากาศก็สามารถเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วโดยไร้การเตือนใดๆ แต่พวกเขาคิดผิด สิ่งที่แย่ไม่ใช่สภาพอากาศ แต่เป็นทัศนวิสัยของพวกเขาต่างหาก

"หมอกงั้นเหรอ"

ลมชื้นๆ คือสัญญาณของหมอก และก่อนที่พวกเขาจะทันรู้ตัว หมอกก็จับตัวหนาจนพวกเขามองไม่เห็นสีของท้องฟ้าอีกแล้ว

"เอายังไงกันดี กลับไปก่อนแล้วค่อยมาใหม่ทีหลังไหม"

"ถ้าเข้าไปในถ้ำแล้วหมอกมันก็ไม่ใช่ปัญหาหรอก"

ไปกันต่อเถอะ ชายคนนั้นเอ่ย แต่แล้วเงาสีดำก็ปรากฏขึ้นที่อีกด้านหนึ่งของหมอก

"Shade นี่นา!"

ตอนที่พวกเขาหันหลังกลับ เงาสีดำก็ประชิดเข้ามาจากด้านหลัง พวกเขาถูกล้อมเอาไว้แล้ว

"เข้าใจล่ะ พวกมันไม่ได้อยู่แค่ในถ้ำ แต่พื้นที่ทั้งหมดนี่คือรังของพวกมัน!"

พวก Shade ไม่ได้ถูกบีบให้ต้องอยู่แต่ในถ้ำ พวกมันสามารถไปที่ไหนก็ได้ตราบเท่าที่แสงแดดไม่แรงมาก พระอาทิตย์ไม่ส่องสว่างบนเทือกเขานานนัก และแนวเขาที่มักเต็มไปด้วยหมอกก็คือสถานที่ที่เหมาะกับการอาศัยของ Shade เป็นอย่างยิ่ง

พวกมันมาแล้ว! เสียงหนึ่งตะโกนขึ้นมา มีเงาสีดำอยู่ที่หางตาขวาของเขา เนียร์จึงเหวี่ยงดาบที่ถืออยู่ใส่มัน ดาบของเขาทั้งทื่อ และหนัก เขารู้สึกเหมือนว่าตนเพิ่งฆ่าแกะไป แต่ในตอนที่เขาคิดเช่นนั้นเด็กชายก็เห็นสีแดง เขาถูกของเหลวอุ่นอาบไปทั่วร่างกาย มันคือเลือดนั่นเอง มันส่งกลิ่นเหม็นคาวเหมือนกับเลือดสีดำที่โยนาห์ไอออกมา การที่ได้เห็นเลือดของ Shade เป็นครั้งแรกทำให้เนียร์เริ่มรู้สึกลังเล

ถึงพวก Shade จะดูเหมือนเงา แต่ตอนฟันพวกมันก็ช่างรู้สึกเหมือนตอนเฉือนพวกสัตว์ อีกทั้งพวกมันยังมีเลือดสีแดงเข้มไหลออกมา ทว่าพวกมันไม่มีศพหลังจากที่ถูกสังหาร พวก Shade จะกลายเป็นหมอกสีดำ และสูญเสียรูปร่างของมันไป ทิ้งไว้เพียงเลือดสีแดงเข้มเป็นทางยาวเท่านั้น

Shade คืออะไรกันแน่

คำถามนั้นผุดขึ้นมาในหัวของเด็กชาย แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาคิดถึงมัน ด้วยขนาดที่เล็กทำให้พวก Shade อยู่รวมตัวกันเป็นจำนวนมาก เขาจะมัวมาคิดเรื่องนี้ตอนนี้ไม่ได้

เมื่อพวกมันเข้ามาในระยะ เนียร์ก็เหวี่ยงดาบใส่ และเขาก็ต้องอาบเลือดของพวกมันอีกครั้ง แต่ไม่ว่าเขาจะฆ่าพวกมันไปมากเท่าไร เงาสีดำก็ไม่ได้จางหายจากหมอกไปเลย เงาร่างแปลกนั้นดูคล้ายกับมนุษย์ พวกมันมีหัว พวกมันมีแขน พวกมันเคลื่อนไหวขณะที่ยืนหลังตรง

หลังจากนั้นเด็กชายก็ไม่สามารถบอกได้อีกว่าตนกำลังฆ่ามนุษย์อยู่หรือไม่ บางทีเขาอาจไม่ได้สังหารพวก Shade แต่เป็นมนุษย์ต่างหาก ของเหลวข้นสีแดงเข้มนี้คือเลือดของมนุษย์หรือเปล่านะ

เขาเห็นเสื้อผ้าที่คุ้นตาอยู่ข้างหน้า อีกฝ่ายคือชายจากเมือง Seafront ซึ่งกำลังสนใจแต่เรื่องการทดสอบดาบเล่มโปรดจนไม่ทันสังเกตเห็นเนียร์

เด็กชายเห็นอีกฝ่ายยิ้มกว้าง ศีรษะถูกเลือดอาบครั้งแล้วครั้งเล่า เขาดูเหมือนปีศาจมากกว่ามนุษย์เสียอีก

บางทีเขาเองก็อาจกำลังมีสีหน้าเช่นนั้น เขาคงฆ่าพวก Shade ด้วยสีหน้าเดียวกับชายคนนี้ บางส่วนในใจของเขารู้สึกสนุกกับการฆ่าฟัน 3 4... เขารู้สึกภูมิใจในตัวเองมากที่สามารถฆ่า Shade พวกนี้ได้

ใครกับแน่นะที่คือสัตว์ประหลาด พวก Shade หรือว่าพวกเขาเอง

หมอกจับตัวหนาขึ้นเรื่อยๆ


เขาไม่รู้เลยว่าตัวเองฆ่า Shade ไปแล้วเท่าไร หัวของเขามึนจนไม่สามารถคิดอะไรออก แต่เขาก็มั่นใจว่าตนจัดการพวกมันส่วนใหญ่ในพื้นที่นี้ไปแล้ว เนียร์สูดหายใจลึก และกลับไปตามทางที่เข้ามา

เด็กชายไม่ได้รับบาดเจ็บที่จุดสำคัญ แต่ก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงจากรอยฟกช้ำ และรอยขีดข่วนไปได้ ความเจ็บแล่นไปทั่วทั้งร่างกาย เลือดของ Shade บนมือ และเท้าของเขาแห้งแล้ว และเขาก็รู้สึกแปลกทุกครั้งที่การเคลื่อนไหวของเขาทำให้คราบเลือดกรังแตกออก บางทีอาจเป็นเพราะประสาทรับกลิ่นของเขารับรู้ถึงมันก็ได้ แต่เขาก็ต้องทนได้กลิ่นมันติดจมูกตราบเท่าที่ยังไม่ชินกับมัน

ยังไงเร็วๆ นี้เขาจะต้องล้างตัว เขาไม่เหลือแรงพอจะวิ่งอีกแล้ว แต่เเด็กชายก็ยังพยายามเดินให้เร็วที่สุดเท่าที่ตัวเองจะทำได้

ในที่สุดหมอกก็หายไปจากสายตา และเขาก็ได้พบกับชายสองคน พวกเขาคือคนที่พยายามไล่เนียร์ที่ประตูเหนือ คนหนึ่งในนั้นกำลังกำลังลากเท้าของคน ส่วนแขนซ้ายของอีกคนก็โค้งงอเป็นมุมแปลกๆ เขาคงโชคดีมากที่หนีมาได้โดยรับบาดเจ็บเพียงเท่านี้ เนียร์คิดช่นนั้นขณะที่เขามองอีกฝ่าย

เมื่อเห็นเนียร์ ชายทั้งสองก็เบิกตากว้าง พวกเขาอาจคิดว่า Shade ฆ่าเด็กชายไปแล้ว

"เจ้ารอดนี่นา!"

เนียร์พยักหน้าเงียบๆ

"เจ้านั่นพูดไว้ไม่ผิดแฮะ เจ้าไม่ใช่ตัวภาระเลยสักนิด เจ้านี่มันเจ๋งที่สุดในกลุ่มเราจริงๆ"

ข้าประทับใจมาก ชายคนนั้นว่า แต่แล้วสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปเมื่อนึกเรื่องบางอย่างขึ้นมาได้

"แล้วเกิดอะไรขึ้นกับเจ้านั่นน่ะ มันไม่ได้อยู่กับเจ้าเหรอ"

คราวนี้เนียร์ส่ายหัว

"ที่จริงแล้วพวกข้าก็ไม่คิดมาก่อนเลยว่าพวกมันจะมีเยอะขนาดนั้น ปาฏิหาริย์ชัดๆ ที่พวกเรารอดมาได้" ชายคนนั้นถอนหายใจ แล้วเอ่ยขอโทษเนียร์ "พวกข้าไม่น่าพาเจ้ามาด้วยจริงๆ นั่นแหละ นี่มันออกจะโหดร้ายเกินไปสำหรับเด็กอย่างเจ้า"

"ไม่หรอกครับ..." เพียงเท่านี้เขาก็จะสามารถซื้อยาได้แล้ว โยนาห์จะได้ไม่ต้องทนเจ็บปวดอีกต่อไป "ยังไงซะ ข้าก็ทำเพื่อน้องสาวของข้า"

ใช่แล้ว เขาสามารถทำได้ทุกอย่างเพื่อนโยนาห์ ทุกๆ อย่าง ไม่ว่ามันจะอันตรายขนาดไหน หรือจะเป็นงานสกปรกเพียงใดก็ตาม

"เข้าใจล่ะ งั้นก็ ดีใจที่เจ้าไม่เป็นอะไรนะ"

ชายที่แขนซ้ายได้รับบาดเจ็บตบหลังของเนียร์ด้วยแขนข้างขวา ก่อนกล่าวว่า "กลับกันเถอะ" และระหว่างที่ช่วยแบกชายผู้ได้รับบาดเจ็บที่ขาไว้บนหลัง เนียร์ก็เดินเงียบๆ ไปพักหนึ่ง

พวกเขาเดินผ่านทางบนเขา ผ่านที่ราบบนนั้น หากถูกโจมตีที่นี่พวกเขาคงรับมือไม่ไหว แต่โชคยังดีที่ท้องฟ้าโปร่งใส และไม่มี Shade ปรากฏให้เห็น เนียร์นึกถึง Shade ตัวใหญ่ที่อยู่บนทางรอบตอนใต้ มันมีแขน และยืนด้วยขาหลังเช่นกัน

"ข้าไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่ามนุษย์กับ Shade จะเหมือนกัน..."

ตอนที่ยังเป็นเด็กตัวเล็กๆ เขาเคยเรียกพวกมันว่า "สัตว์ประหลาดสีดำ" เมื่อเขาได้เห็นมันจริงๆ เขาก็คิดว่ามันดูคล้ายกับเงา แต่เขาไม่เคยคิดจะเชื่อมโยงพวกมันกับมนุษย์มาก่อนเลย

"จริงเหรอ ตรงไหนที่เหมือนกันน่ะ"

ชายทั้งสองเอียงคอด้วยความสงสัย

"พวกมันมีเลือดออกตอนที่ถูกฟัน แถมยังให้ความรู้สึกเหมือนกันด้วย..."

"อ๋อ เรื่องนั้นแกะกับแพะก็เหมือนกัน พวกมันก็มีเลือดออกเหมือนกับตอนที่เจ้าฟัน Shade นั่นแหละ"

เป็นเด็กที่แปลกซะจริง ชายทั้งสองคนหัวเราะ ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่เคยคิดหาความแตกระหว่าง Shade กับมนุษย์เลย

"ถ้าเจ้าฆ่ามนุษย์ล่ะก็มันจะต้องรู้สึกต่างจาก Shade หรือแกะแน่ๆ แต่เจ้าห้ามไปทำอย่างนั้นนะ"

"ทำอย่างนั้น..."

เขามองมือที่เต็มไปด้วยเลือดของตน ฝ่ามือที่เต็มไปด้วยคราบแห้งสีแดงเข้ม สีที่ทำให้เขาไม่สามารถแยกแยะได้ว่ามันเป็นเลือดของมนุษย์หรือ Shade ชายจากเมือง Seafront ตายไปแล้ว เด็กชายจึงไม่ต้องไปที่บ้านของอีกฝ่ายอีก

"เป็นอะไรไป บาดเจ็บตรงไหนหรือไง"

เนียร์กลับเป็นตัวของตัวเองหลังจากได้ยินเสียงที่เจือความเป็นห่วงนั้น เด็กชายดึงสายตากลับจากมือ แล้วส่ายหัว

"แค่กำลังคิดว่าข้าต้องรีบกลับบ้านแล้วน่ะครับ"

ภาพของโยนาห์ซึ่งกำลังรอเขาอยู่ที่หน้าต่างชั้นสองลอยเข้ามาในความคิด วันนี้เธอจะต้องยิ้มต้อนรับเขาเหมือนกับวันอื่นแน่ๆ เด็กชายไม่สามารถคิดอะไรอื่นมากไปกว่านั้น ไม่มีอะไรมากไปกว่าการปกป้องโยนาห์ ช่างเป็นเรื่องแสนปรกติจริงๆ...

เขารู้สึกเหมือนมีบางอย่างถูกยกออกไปจากบ่า ก่อนเงยหน้าขึ้นมองท้องนภา สีฟ้ากว้างใหญ่ไพศาลของมันมีเมฆก้อนหนึ่งถูกสายลมพัดลอยขึ้นไป

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Spoil NieR Automata Part 27 Ending E : the End of YoRHa และวิเคราะห์เนื้อเรื่องทั้งหมดตามใจฉัน

ผ้าปิดตาของ YoRHa