The Promised Neverland เลือกตั้งครั้งนี้จะเลือกนโยบายของใคร



คำเตือน เนื้อหาในบทความนี้สปอยเนื้อหาในมังงะอย่างหนักหน่วง

ในที่สุดประชาชนชาวไทยก็ได้มีโอกาสเลือกตั้งหลังจากไม่ได้มีพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์นี้มานานถึง 8 ปี แม้หลายๆ อย่างจะออกมา... ไม่ค่อยดีเท่าไรนัก แต่จะพยายามมองในแง่ดีว่าน่าจะดีกว่าการไม่ได้ทำอะไรเลยก็แล้วกัน (ฮา)

ในตอนนี้เรื่อง The Promised Neverland เองก็มีประเด็นที่น่าจะทำให้เราต้องเลือกฝ่ายว่าใครจะมีนโยบายในการกำหนดอนาคตของปศุสัตว์เด็กดีกว่ากัน แน่นอนว่าฝ่ายแรกก็คือเอ็มมา ตัวเอกของเรื่องผู้มีเจตจำนงค์อันแรงกล้าที่จะช่วยเหลือเด็กทุกคน ที่สำคัญเธอยังมีความคิดที่จะอาศัยร่วมกับปีศาจอย่างสันติด้วย ส่วนคู่แข่งของเธอก็ไม่ใช่คนอื่นไกล เขาคนนั้นคือนอร์แมน ผู้มีสมองอันปราดเปรื่อง สามารถคิดวิเคราะห์เรื่องยากๆ ได้อย่างเฉียบคม ทว่าแม้เขาจะมีความตั้งใจในการช่วยเหลือปศุสัตว์เด็กเช่นเดียวกับเอ็มมา แต่เขากลับมีความคิดที่จะล้างเผ่าพันธุ์ปีศาจทั้งหมด เพื่อที่มนุษย์ทุกคนจะได้ใช้ชีวิตโดยไม่ต้องหวาดกลัวอะไรอีก

ผู้เขียนเข้าไปอ่านความเห็นของนักอ่านก็พบว่าส่วนมากเอนเอียงไปทางนอร์แมนซึ่งมีนโยบายเป็นรูปธรรม สามารถจับต้องได้ และขณะเดียวกันก็กล่าวว่าความคิดของเอ็มมานั้นโลกสวยเกินไป ไม่มองความเป็นจริง อีกทั้งนโยบายของเธอที่จะตามหากำแพงทั้ง 7 เพื่อร่างพันธสัญญาขึ้นมาใหม่ก็ช่างดูขายฝันเสียเหลือเกิน

กระนั้นผู้เขียนกลับไม่ชอบนโยบายของนอร์แมนเท่าใดนัก และมีแนวคิดค่อนข้างไปในทางเดียวกับเอ็มมาเสียมากกว่า แม้จะเข้าใจเหตุผลของทางฝั่งนอร์แมน แต่ตามประวัติศาสตร์จริง ๆ ความคิดแบบเขาคือแนวคิดของการสร้างสงคราม สุดท้ายเราคิดว่าสงครามดีหรือไม่ วิธีนี้คือวิธีที่ใช้ปลดแอกจริง ๆ ได้หรือ เพราะในที่สุดมันก็นำมาซึ่งความสูญเสียมากมาย แม้แต่ผู้ชนะเองก็เต็มไปด้วยรอยแผลที่ฝั่งแน่น จนปัจจุบันมนุษยชาติต่างก็เห็นตรงกันว่าควรจะหลีกเลี่ยงการทำสงครามให้มากที่สุด

เมื่อครั้งที่มหาตมะ คานธี นำพาประชาชนต่อต้านการยึดครองของอังกฤษโดยสันติวิธี ไม่ตอบโต้ความรุนแรงด้วยความรุนแรง คนของท่านต่างก็พบการสูญเสีย และถูกทำร้าย กระนั้นสุดท้ายแล้วสิ่งที่ท่านทำก็ส่งผลให้ประเทศราชทั่วโลกได้รับการปลดปล่อย และมันก็จากจุดเริ่มต้นเล็ก ๆ คือการอยากให้คนอินเดียมีสิทธิ์ในเกลือของประเทศตัวเอง

หากมองใกล้ความเป็นการ์ตูนเข้ามาหน่อยก็เช่นเกม Detroit : Become Human ถึงแอนดรอย์จะปฏิวัติสำเร็จ แต่ผู้เล่นคิดว่าวิธีไหนที่ยั่งยืนกว่ากัน ระหว่างวิธีที่ทำให้มนุษย์หวาดกลัว กับวิธีที่ทำให้มนุษย์ส่วนหนึ่งเห็นคุณค่าว่าชีวิตของเราเท่ากัน

ในเรื่อง The Promised Neverland เอง หลังจากที่มนุษย์กับปีศาจต่อสู้กันในอดีต สุดท้ายเพื่อไม่ให้ฝ่ายตัวเองต้องสูญเสียมากไปกว่าที่เป็นอยู่ พวกเขาก็ลงเอยด้วยการทำพันธสัญญา ผู้เขียนเคยคิดว่าหากให้ทั้งสองฝ่ายกลับไปใช้วิธีการสู้กันอย่างก่อนมีพันธสัญญาก็ดูเป็นเรื่องที่ยุติธรรมดี แต่พอคิดอีกที ไม่ว่าฝ่ายไหนก็คงไม่อยากสูญเสียพวกของตน ผู้เขียนจึงเห็นด้วยกับวิธีการของเอ็มมาที่ถึงแม้ลำบากกว่า แต่ในระยะยาวแล้วน่าจะดีกว่า ถึงตอนนี้เธอจะไม่มีแผนให้จับต้องได้เท่าแผนของนอร์แมน แต่ก็หวังว่ากำแพงทั้ง 7 ที่ตามหาอยู่จะช่วยทำให้ความคิดของเอ็มมาเป็นรูปร่างมากขึ้น

เป็นความจริงที่ว่าไม่ว่ายังไงก็จะยังคงมีมนุษย์ที่เกลียด ไม่ให้อภัยปีศาจ และฝ่ายปีศาจที่ไม่ว่าอย่างไงก็อยากกินมนุษย์ แต่ในเมื่อฝ่ายมนุษย์ก็ยังมีคนที่มีความคิดว่าจะอยู่กับปีศาจอย่างเอ็มมา ก็น่าจะมีฝ่ายปีศาจที่มีความคิดที่จะอยู่กับมนุษย์เช่นกัน โดยอยู่ภายใต้เงื่อนไขว่าตัวเองจะไม่ตกสู่ความเสื่อม และเลือดของมุสิกาก็ช่วยตอบโจทย์ข้อนี้ ในขณะที่เอ็มมาได้เห็นสังคมปีศาจจีงมีความคิดว่าทั้งสองเผ่าพันธุ์ไม่ต่างกัน แต่ปีศาจในเรื่องส่วนมากมักได้เห็นมนุษย์ที่เป็นเนื้อวางขายแล้ว หรือไม่ก็มนุษย์จากฟาร์มที่ไม่มีสติเท่าไร ดังนั้นหากปีศาจได้รู้จักมนุษย์อย่างที่เอ็มมารู้จัก ก็มีแนวโน้มที่ส่วนหนึ่งจะมีความคิดเช่นเดียวกัน

แล้วปีศาจจะยอมอดทนไม่กินของโปรดของตัวเองหรือ เรื่องนี้อาจจะยากที่รุ่นแรกซึ่งเคยลิ้มลองรสของมนุษย์มาก่อน แต่รุ่นต่อ ๆ ไปซึ่งพ่อแม่ไม่กินมนุษย์ เด็กปีศาจน่าจะมีความอยากกินมนุษย์ลดลง เหมือนกับการที่คนอิสลามอาจได้ยินว่าหมูอร่อย แต่ไม่คิดกิน หรือคนจีนที่นับถือเจ้าแม่กวนอิม ก็ไม่คิดกินเนื้อวัว ซึ่งก็แน่นอนอีกว่าอย่างไรก็คงมีพวกที่ถึงพ่อแม่ไม่กินก็ยังอยากกินอยู่ดี แต่ในเมื่อมนุษย์ก็ยังมีพวกที่อยากกินคนด้วยกันเอง เรื่องนี้จึงไม่อาจหลีกเลี่ยง และต้องใช้ระบบกฎหมายเข้ามาจัดการแทน ยิ่งหากเด็กปีศาจรุ่นที่ได้อยู่ และคลุกคลีกับมนุษย์ แนวคิดเรื่องการเป็นสิ่งมีชีวิตที่เท่ากันก็จะเริ่มเข้ามา ความอยากกินอีกฝ่ายจะลดลงเรื่อย ๆ เหมือนกับที่แนวคิดการเหยียดชาติพันธุ์ไม่เป็นที่ยอมรับในปัจจุบัน เพราะฉะนั้นมนุษย์จะฆ่าอีกฝ่ายซึ่งอาจไม่อยากต่อสู้ และอยากอยู่อย่างสงบด้วยความคิดเหมารวมว่า "เขาไม่ใช่พวกเรา" หรือ “พวกเขาทั้งหมดเป็นคนชั่วสมควรตาย” อย่างนั้นหรือ

ผู้เขียนมองว่าวิธีที่น่าจะดีที่สุดคือการทำพันธสัญญาใหม่โดยกำหนดให้มีเขตปกครองพิเศษซึ่งมนุษย์อยู่ร่วมกับปีศาจ เมื่อเป็นเช่นนี้ฝ่ายที่ต้องการสันติก็ได้อยู่ด้วยกัน ส่วนคนที่ไม่ยอมรับแนวคิดนี้ก็สู้กันต่อไปได้ พวกเอ็มมาไม่จำเป็นต้องบังคับโลกทั้งใบให้เป็นไปตามความคิดของตัวเอง แต่เริ่มแค่จุดเล็ก ๆ ก็เพียงพอ

แต่เขตปกครองพิเศษจะโดนโจมตีจากทั้งสองฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยหรือไม่ ผู้เขียนคิดว่าเป็นเรื่องแน่นอนอยู่แล้วที่จะเป็นเช่นนั้น แต่ในเมื่อมีพันธสัญญาอยู่ก็จะช่วยระดับหนึ่ง และหากเขตปกครองมีพลังมากพอก็จะอยู่ต่อไปได้ เช่นเดียวกับประเทศสวิสเซอร์แลนด์ซึ่งเป็นประเทศเล็ก ๆ กลางยุโรป อยู่ตรงกลางระหว่างฝ่ายอักษะกับสัมพันธมิตรในสงครามโลกครั้งที่ 2 ประเทศออกแนวบ้านนอก แถมต้องคอยดูแลประเทศน้องอย่างลิกเตนสไตน์ สวิสเซอร์แลนด์ประกาศว่าตัวเองจะเป็นกลาง แต่ก็จะต่อสู้กับผู้ที่เข้ามารุกราน บีบบังคับเอกราชความตั้งใจของตน แล้วสุดท้ายคำพูดนั้นก็ไม่ได้เป็นแค่คำสวยหรูโลกสวย ตั้งแต่จุดเริ่มจนถึงจุดสุดท้ายของสงคราม สวิสเซอร์แลนด์สามารถแสดงให้ทั้งโลกเห็นแล้วว่าพวกเขาทำเช่นนั้นได้

แล้วไม่คิดหรือว่าความคิดที่ดูโลกสวยของเอ็มมาจะเป็นไปได้เหมือนกัน ในเมื่อเธอพิสูจน์มาตลอดว่าเธอจะไม่ทิ้งใคร และเธอก็ทำอย่างนั้นจริง ๆ เธอมีความฉลาด และถ้าได้เรย์มาอยู่ด้วยก็จะยิ่งส่งเสริมกัน อีกทั้งเอ็มมาก็ไม่ได้มองโลกสวยงามเกินไป ตอนพวกเธอหนีออกจาก Grace Field House แม้จะอยากพาทุกคนออกไปด้วย แต่สุดท้ายเธอก็เลือกวิธีตรงกลางที่เป็นไปได้อย่างการทิ้งเด็กอายุตั้งแต่ 4 ขวบลงไปไว้ก่อน และแม้จะอยากสันติกับปีศาจ แต่พอเลวิสยืนยันว่าจะไม่ยอมรับความคิดนั้น เธอก็สามารถต่อสู้ และฆ่าอีกฝ่ายได้

ดังนั้นอีกสิ่งที่เอ็มมายังขาดก็คือปีศาจที่มีความคิดเดียวกับเธอ ซึ่งจะต้องเป็นคนที่มีพลังในด้านใดด้านหนึ่งที่จะสนับสนุนกันได้ รวมถึงชัยภูมิที่จะทำให้เขตปกครองพิเศษสามารถป้องกันตัวเอง และถ้าเขตปกครองไปได้สวย มนุษย์ และปีศาจส่วนหนึ่งก็คงอยากเข้ามาอยู่เพราะไม่อยากเสี่ยงชีวิต เมื่อมีคนมาอยู่มากขึ้น เขตปกครองก็จะแข็งแกร่ง ปีศาจที่ผูกขาดกิจการฟาร์มมนุษย์ก็จะขายสินค้าไม่ได้ เนื่องจากปีศาจเริ่มไม่จำเป็นต้องกินมนุษย์อีกต่อไป สุดท้ายระบบฟาร์มก็จะเสื่อมไปเอง ส่วนตระกูลราทรีก็จะหมดอำนาจ ทุกฝ่ายกลับมาเสมอภาคกัน หากมีพวกกระหายการต่อสู้ที่ยังพอคุยกันได้ ก็อาจจัดงานแข่งกีฬาให้ไปออกกำลังแทน

เมื่อต้องเลือกระหว่างนอร์แมนที่จับมือกับปีศาจ ซึ่งต่างฝ่ายพร้อมจะแทงหลังกันตลอดเวลา กับเอ็มมาที่หากเธอสามารถร่างนโยบายได้เป็นรูปธรรมจนมีพรรคพวกฝ่ายปีศาจ ทั้งสองฝ่ายก็จะเป็นพันธมิตรซึ่งมีแนวโน้มจะร่วมหัวจมท้ายด้วยกัน ถึงแม้ความคิดของเธออาจจะต้องใช้เวลาหลายร้อยปี ใช้เวลามากกว่าวิธีของนอร์แมน ต้องอดทนมากกว่า และต้องอาศัยการเปลี่ยนความคิดของแต่ละรุ่น เหมือนที่เรามี Baby Bloomer, Gen X, Gen Y, Gen Z, Gen Me และอื่นๆ ซึ่งหมายความว่าการจะมีสันติอย่างยั่งยืนอาจไม่สำเร็จในช่วงชีวิตของเอ็มมา แต่เธอก็จะเป็นคนที่เริ่มต้นมันขึ้นมา

เพราะฉะนั้นถึงนโยบายของเอ็มมาอาจจะดูสวยงามขายฝัน และยังไม่เป็นรูปร่าง หรือวิธีการของเธออาจจะต่างจากที่ผู้เขียนคาด ผู้เขียนก็ยังคิดว่าเลือกตั้งผู้นำของ The Promised Neverland คราวนี้ก็อยากจะเลือกเอ็มมาเป็นผู้นำเหล่าปศุสัตว์เด็ก และเหล่าปีศาจที่ต้องการสันติอยู่ดี

Hold on a little while longer. Everything's going to be alright.

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Spoil NieR Automata Part 27 Ending E : the End of YoRHa และวิเคราะห์เนื้อเรื่องทั้งหมดตามใจฉัน

ผ้าปิดตาของ YoRHa