Grimoire Nier : The Stone Flower


เครดิท : Nier Wikia

ความหวังของมนุษยชาติ และความสิ้นหวังของการสังเวย ดอกไม้สีแดงกำลังเบ่งบานอยู่ข้างในดวงตาซึ่งถูกเจาะทั้งสองข้างของเธอ

ความฝันที่เธอได้เห็นตอนงีบหลับมักอบอุ่น และสดใสเสมอ วิ่งบนสนามหญ้า อุ้มลูกแมวไว้บนตัก แผ่นหลังของพ่อ ขนมที่แม่อบ แถวของกระถางต้นไม้ในเรือนกระจก... ความฝันที่เธอได้เห็นยามค่ำคืนช่างต่างจากความฝันในตอนกลางวันเหลือเกิน

มันน่าแปลกมาก ฮาลัวคิดอย่างนั้นทุกครั้งตอนที่เธอตื่นขึ้นท่ามกลางแสงสว่างของช่วงบ่าย ทุกสิ่งที่เธอลืมไปในยามตื่น เธอกลับได้เห็นมันในยามฝัน พวกเขายังคงแจ่มชัด แม้ในความจริงพวกเขาจะจากไปแล้วก็ตาม...

แม่ และพ่อของเธอเสียชีวิตในอุบัติเหตุ ลูกแมวอาจยังมีชีวิตอยู่ แต่มันคงไม่ได้เป็น "ลูกแมว" อีกต่อไป จากวันนั้นเวลาก็ผ่านมาถึง 2 ปี เธอแน่ใจว่าตอนนี้จะต้องมีครอบครัวอื่นเข้าไปอยู่ในบ้านซึ่งมีเรือนกระจกหลังนั้นแล้วแน่นอน

สิ่งที่เด็กหญิงเหลือมีแค่เอมิลผู้ที่เล่นวิ่งไล่จับกับเธอในสนามหญ้าในความฝัน น้องชายฝาแฝดคือคนๆ เดียวที่อยู่กับเธอมาตลอด 10 ปีนับตั้งแต่ที่เธอลืมตาดูโลก

"ตื่นแล้วเหรอ ฮาลัว"

"อาจารย์..."

ความทรงจำอันสว่างสดใส และอบอุ่นหายไปอย่างไร้ร่องรอย เธอจำไม่ได้แล้วว่าตัวเองเพิ่งฝันเกี่ยวกับอะไร

"เหงื่อออกชุ่มเลยนะ สงสัยคงได้เวลาเปลี่ยนมาใส่ชุดสำหรับฤดูร้อนแทนแล้วล่ะ"

อาจารย์สาวหยิบผ้าเช็ดหน้าจากกระเป๋าออกมาซับเหงื่อบนหน้าผาก และลำคอของฮาลัว จากนั้นเธอจึงหันไปปลุกเอมิลซึ่งนอนอยู่ข้างๆ เด็กหญิง

"เธอก็ตื่นได้แล้วนะ เอมิล ได้เวลาของว่างแล้ว"

"วันนี้ของว่างคืออะไรเหรอคะ อาจารย์"

อีกแล้วเหรอ เด็กหญิงคิดเมื่อเห็นคุ๊กกี้ และโกโก้ คุ๊กกี้ ขนมปังกรอบ เค้กฟองน้ำ สิ่งเหล่านี้คือของว่างเพียง 3 อย่างที่พวกเธอเคยได้รับ อย่างไรก็ตามที่นี่ก็เป็นสถานที่ที่ถูกจัดขึ้นมา อีกอย่างเธอก็ไม่มีแม่ซึ่งคอยเปลี่ยนขนมในแต่ละวันให้เธออีกแล้ว ฮาลัวรู้ดีว่าหากถามออกไปคงเป็นเรื่องเสียมรรยาท

แต่พวกเด็กๆ ชอบขนม ไม่ว่าจะได้รับอะไรมา ตราบเท่าที่มันยังถูกเรียกว่า "ของหวาน" พวกเขาก็มีความสุข แม้จะมีความคิดเป็นผู้ใหญ่ แต่เด็กหญิงก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากทำเป็นว่าเธอก็ชื่นชอบมันเช่นกัน

เอมิลไม่เหมือนกับฮาลัว เขาเป็น "เด็กที่ยังเป็นเด็ก" วันนี้เองก็เช่นกัน เขากำลังมีความสุขกับการเรียงคุ๊กกี้รูปตัวอักษรไว้บนจานก่อนที่จะกินมัน และแล้วเด็กชายก็หยิบชิ้นหนึ่งเข้าไปในปาก

คุ๊กกี้ไม่ได้มีรสชาติดีมากนัก แต่เมื่อมองเอมิลกิน เธอก็อดสงสัยไม่ได้ว่ารสชาติของมันนั้นเหมือนกับที่แม่เคยทำหรือเปล่า ถึงแม้จะรู้สึกเศร้าขึ้นมา ฮาลัวก็ยังพยายามพูดอะไรบางอย่างให้สมกับที่เป็นพี่สาว

"อย่าเล่นของกินสิ"

"แต่ว่า..."

"แล้วนายก็สะกดผิดด้วย นายลืมตัว E ตรงนี้ไปนะ"

ในสถานที่แห่งนี้ ฮาลัวกับเอมิลไม่ได้ถูกสอนด้วยภาษาของตัวเอง ภาษาที่ใช้ที่นี่คือภาษาญี่ปุ่น ครั้งสุดท้ายที่ทั้งสองได้รับการสอนภาษาแม่คือเมื่อ 2 ปีก่อน การที่เด็กชายจะลืมวิธีสะกดคำไปจึงถือว่าเป็นเรื่องปรกติ

"ดูนะ นายต้องสะกดอย่างนี้"

ฮาลัวหยิบคุ๊กกี้รูปตัว E จากจานของเธอวางลงบนจานของเอมิล ซึ่งมันก็ทำให้เขายิ้มกว้างทันที

"เธอเนี่ยเป็นพี่สาวที่ดีจริงๆ นะ ฮาลัว"

อาจารย์ที่กำลังถือถ้วยกาแฟอยู่ส่งยิ้มมาให้ ช่วงเวลาทานของว่างอีกฝ่ายจะนั่งร่วมโต๊ะเดียวกับฮาลัว และเอมิลเสมอ ดื่มกาแฟ แล้วก็พูดคุยกับพวกเธอ และถ้าหากเธออยู่ในอาคาร ทั้งสามก็จะทานอาหารด้วยกัน บางครั้งเธอก็จะอ่านหนังสือให้เด็กทั้งสองฟังก่อนนอน และมาปลุกคู่แฝดในตอนเช้าทุกๆ วันราวกับเป็นแม่จริงๆ

"ครูเป็นลูกโทน ก็เลยรู้สึกอิจฉาพวกเธอสองคนมากเลยล่ะ"

จริงหรือ เธอคิดอย่างนั้นจริงๆหรือ ทั้งๆ ที่พวกเธอสองคนไม่เคยได้ออกไปจากอาคาร ต้องใช้ชีวิตน่าเบื่อในที่แห่งนี้ทุกๆ วัน พวกเธอใช้ชีวิตแบบนี้มา 2 ปีแล้ว ตรงไหนกันที่น่าอิจฉา ที่สำคัญที่นี่ก็ไม่มีอะไรปรกติเลยด้วย ฮาลัวผู้ชื่นชอบหนังสือรู้ว่าสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าซึ่งรับดูแลเด็กที่ไม่มีพ่อแม่ควรเป็นแบบไหน เด็กจำนวนมากต้องอาศัยอยู่รวมกันในอาคารที่เหมือนกับโรงเรียน มีเตียงหลายหลังในห้องๆ เดียว ทานอาหารในห้องอาหารพร้อมกันหลายสิบคน...

ในตอนแรกที่เข้ามาในที่แห่งนี้เด็กหญิงมีเพื่อนร่วมห้องอีก 6 คน มีเด็กมากมายที่อายุไล่เลี่ยกับเธอ ทุกคนทานอาหารในห้องอาหารขนาดใหญ่ นั่นต่างหากที่น่าจะเรียกว่าเป็นเรื่องปรกติของสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า แต่แล้วเด็กที่ร่วมห้องกับเธอกลับค่อยๆ หายไปทีละคน และหลังจากนั้นก็จะมีเด็กคนใหม่เข้ามาแทน เรื่องพวกนี้ดูผิดปรกติมาก

สุดท้าย เมื่อฮาลัวกับเอมิลพูดคนละภาษากับเด็กคนอื่นๆ พวกเธอจึงถูกย้ายมาที่นี่ และได้มีห้องเป็นของตัวเอง พอมาคิดดูตอนนี้มันก็แปลกๆ ฮาลัวกับเอมิลไม่ถึงกับพูดภาษาญี่ปุ่นไม่ได้เลย ความจริงแล้วตั้งแต่ที่พวกเธอย้ายมาประเทศนี้ ทั้งสองก็เข้าชั้นเรียนภาษาทุกวัน และใช้ภาษาญี่ปุ่นเป็นประจำ

บทเรียนของพวกเขาก็น่าสงสัย มันไม่เหมือนกับสิ่งที่พบได้โรงเรียนทั่วไป สิ่งที่พวกเธอต้องทำทั้งหมดก็คือการตอบคำถามหน้าเครื่องจักร มันช่างดูเหมือนการสอบมากกว่าการเรียน บางครั้ง "การเรียน" ก็ดูเหมือนกับการให้เล่นจนราวกับว่ามันเป็นเกมมากกว่า

บางครั้งสถานที่แห่งนี้ก็ให้ความรู้สึกแปลกๆ เป็นเรื่องยากที่พวกเธอจะได้พบเจอเด็กคนอื่นนอกเหนือจากคู่แฝด และคนประเภทเดียวที่อยู่ในอาคารนี้ก็มีแต่ผู้ใหญ่ที่ใส่ชุดสีขาวเหมือนกับอาจารย์

"เป็นอะไรไปเหรอ"

อาจารย์มองฮาลัวซึ่งจู่ๆ ก็ลุกขึ้นยืนด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความกังวล เธอวิ่งไปด้านหลังของอาจารย์สาว ก่อนฝังหน้าลงบนหลังของอีกฝ่าย

"แม่คะ..."

เด็กหญิงหัวเราะเบาๆ ซึ่งมันก็ทำให้อาจารย์เลื่อนเก้าอี้ที่นั่งอยู่ออก เธอหันหลังกลับมาสวมกอดฮาลัว

"ช่างออดอ้อนซะจริง ฮาลัว"

มือที่ลูบผมของเธอนั้นช่างนุ่มนวลจนให้ความรู้สึกคล้ายกับแม่แท้ๆ ของเธอนิดหน่อย

"ขี้โกงนีนา ลูบหัวผมด้วยคนสิ!"

เด็กหญิงได้ยินเสียงเอมิลลุกขึ้นยืน แล้วก็มีเสียงกลั้วหัวเราะตอบกลับไปว่า "ได้เลยจ้ะ ได้เลย"

นี่ อาจารย์คะ คุณอยู่ข้างเดียวกับพวกเราใช่หรือเปล่าคะ หนูจะเชื่อได้หรือเปล่าว่าคุณแตกต่างจากพวกผู้ใหญ่คนอื่นๆ

ชุดสีขาวที่ได้รับการดูแลอย่างดีของหญิงสาวมีกลิ่นเหมือนสารเคมี แม่จริงๆ ของเธอไม่เคยมีกลิ่นแบบนี้ ทำให้ฮาลัวคิดว่าหรือจะเป็นเพราะกลิ่นนี้กันที่ทำให้เธอไม่สามารถเชื่อใจอีกฝ่ายได้เต็มที่ หรือไม่ก็อาจเป็นเพราะจริงๆ แล้วอาจารย์ก็มีความคิดเหมือนกับพวกผู้ใหญ่คนอื่น

"คุณรักหนูหรือเปล่าคะ"

"แน่อยู่แล้วสิ ครูรักเธอนะฮาลัว แล้วก็เธอด้วย เอมิล"

ถ้าอย่างนั้นก็อยู่ข้างเดียวกับพวกเรานะคะ อย่าหักหลังพวกเรา... ปกป้องหนูด้วย ฮาลัวเอ่ยคำนั้นซ้ำไปซ้ำมาในหัวขณะที่แนบแก้มของตนบนหน้าอกของหญิงสาวในชุดสีขาว

หลังจากวัดอุณหภูมิร่างกายในตอนกลางคืน กับฟังนิทาน 2-3 บทก็ถึงเวลาเข้านอน และแล้ววันเวลาแสนน่าเบื่ออันยาวนานอีกวันก็จบลง ถึงแม้ทุกวันจะเป็นเช่นนี้เอมิลก็ยิ้มได้เสมอ เขานับเมฆที่ลอยผ่านหน้าต่าง กดคีย์บนแป้นของเปียโนที่มุมห้อง และวาดรูปเดิมๆ ครั้งแล้วครั้งเล่าบนกระดาษวาดเขียน เด็กชายไม่เคยสงสัยเลยว่าที่แห่งนี้ไม่ใช่สถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าในนิทานซึ่งมักมีสิ่งที่ไม่ดีเกิดขึ้น

สำหรับฮาลัวแล้ว สิ่งนี้เป็นเรื่องที่ทำให้เธอทั้งรู้สึกสบายใจ และกังวลในเวลาเดียวกัน เด็กหญิงอยากให้เอมิลยิ้ม แต่เธอก็ไม่อาจหยุดห่วงที่เขาไม่เคยระวังตัวเลย ฮาลัวจึงคิดว่าตัวเองจะต้องคอยระวังกับทุกสิ่งทุกอย่างในส่วนของอีกฝ่ายด้วย

บทเรียนที่พวกเธอได้รับ สิ่งที่พวกเธอกิน และดื่ม ลักษณะของพวกผู้ใหญ่ที่พบ สิ่งที่พวกเขาพูด แม้เธออยากจะจดทุกอย่างเพื่อที่จะได้ไม่หลงลืมมัน แต่เด็กหญิงก็ไม่สามารถทำอย่างนั้นได้ นั่นก็เพราะพวกเธอตกอยู่ภายใต้การเฝ้ามองตลอดเวลา ดังนั้นตอนที่พวกเขาเข้ามาในห้อง เด็กหญิงจะแสร้งทำเป็นว่าตาซ้ายของตนเจ็บ และเมื่ออยู่ตามลำพัง เธอก็จะข่มตา และกดตาซ้ายของตัวเองไว้ เธอปิดบังความลับนี้จากทั้งเอมิล และแน่นอนว่ารวมไปถึงอาจารย์ด้วย

ไม่กี่วันถัดมา ดวงตาของเธอก็ได้รับการตรวจอย่างละเอียด ถึงแม้ว่าความจริงเธอจะเป็นคนทำมันเองตอนที่ได้อยู่ตามลำพังก็ตาม

"นายตื่นอยู่หรือเปล่า เอมิล?"

"หือออ?" อีกฝ่ายตอบรับกลับมาด้วยเสียงงัวเงีย เด็กหญิงจึงค่อยๆ ยื่นมือไปจับมือของเด็กชายไว้

ตอนที่ถูกย้ายมายังสถานที่แห่งนี้ เธอเกือบจะถูกแยกห้องกับน้องชายแล้ว กระนั้นเด็กหญิงก็บอกพวกเขาไปว่าพวกตนไม่สามารถนอนหลับได้ถ้าไม่ได้อยู่ด้วยกัน และหลังจากร้องไห้งอแงทั้งวัน สุดท้ายพวกเขาจึงยอมอนุญาตให้พวกเธอนอนด้วยกัน

ระวังไว้นะ อย่าเชื่อใจพวกผู้ใหญ่

ฮาลัวไม่สามารถกล่าวคำนั้นออกมาดังๆ เธอแน่ใจว่าจะต้องมีใครบางคนแอบฟังอยู่ แต่ในตอนที่กุมมือของเขาไว้แน่นนั้น เด็กหญิงก็ปรารถนาอย่างสุดซึ้งว่าตนจะสามารถถ่ายทอดความคิดไปให้อีกฝ่ายผ่านความคิดได้เ

วันนั้นเธอรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีขึ้นมาในตอนเช้า มีบางอย่างแปลกไป และในตอนที่อาจารย์บอกให้พวกเธอไปตรวจร่างกายแทนการเข้าเรียนตอนเช้า เธอก็มั่นใจในลางสังหรณ์นั้น ไม่เคยมีเรื่องดีๆ หลังจากการตรวจเลย

เมื่อคิดดูดีๆ แล้ว เมื่อครั้งที่เธออยู่ในอาคารหลังแรก หลังจาก "ตรวจสุขภาพ" ก็จะมีเด็กบางส่วนหายไปทุกครั้ง และพวกเธอก็ถูกย้ายมาอยู่ที่นี่ บางทีพวกเขาน่าจะอาศัยช่วงเวลานั้นย้ายเด็กๆ ไปที่ไหนสักที่ อาจจะเป็นอาคารหลังอื่น พวกเธออาจจะถูกแยกจากอาจารย์ก็ได้

"เป็นอะไรเหรอฮาลัว รู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า"

ฮาลัวได้สติกลับมา ตอนนี้เธอกำลังยืนอยู่ข้างหน้าอาจารย์ซึ่งกำลังมองเธอด้วยสายตาเป็นห่วง มือที่ทาบลงบนหน้าผากเพื่อตรวจสอบว่าเธอมีไข้หรือไม่นั้นช่างให้ความรู้สึกปลอบโยนจนเด็กหญิงเกือบจะร้องไห้ออกมา

"อาจารย์คะ หนู..."

หนูไม่อยากถูกย้ายไปไหนอีกแล้ว หนูไม่อยากถูกทำอะไรแล้วทั้งนั้น ทว่าฮาลัวกลับไม่สามารถพูดเช่นนั้นออกไปได้ มีบางส่วนในตัวเธอที่ไม่สามารถเชื่อใจอาจารย์ได้เต็มที่ เด็กหญิงอาจเรียกอีกฝ่ายว่า "แม่" และได้รับความเอาใจใส่จากคนตรงหน้า แต่ลึกๆ แล้วเธอกลับไม่สามารถวางใจอีกฝ่ายได้

ฮาลัวรู้สึกประหลาดที่เอมิลไม่รู้สึกกลัวการตรวจเลย การถูกเจาะเลือดค่อนข้างเจ็บนิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้เป็นอะไรมาก สิ่งที่ทำให้เธอกังวลคือเป้าหมายอื่นของพวกเขา

ทว่าในตอนที่พวกเธอสัมผัสกับความเย็นของเครื่องดูดซึ่งเชื่อมร่างของเธอไว้กับเครื่องจักรหน้าตาประหลาด เด็กหญิงก็ไม่อาจทนไหว มันเหมือนพวกเขาจับเธอยัดลงในกล่องที่สร้างจากเครื่องจักร จนเธออยากกระชากสายออกจากที่ดูดนั่น แล้ววิ่งหนีไปซะ

และในตอนที่ฮาลัวกำลังคิดว่าเธอคงทนต่อไปไม่ไหวการตรวจก็สิ้นสุดลงพอดี และผู้ใหญ่คนหนึ่งบอกให้เด็กหญิงกลับไปที่ห้องได้ วันนี้แปลกจากวันอื่นๆ หลังจากที่นำที่ดูด และสายเชื่อมออกจากร่างกายแล้ว พวกเขาก็บอกให้เธอไปยังห้องถัดไปเพื่อเปลี่ยนชุดตรวจ ทว่าเอมิลซึ่งน่าจะอยู่ในห้องเดียวกันกลับไม่อยู่ที่นั่นด้วย เด็กหญิงจึงเริ่มร้องไห้ด้วยความเป็นห่วงน้องชาย ก่อนที่ผู้หญิงในชุดสีขาวคนหนึ่งจะเปิดประตูเข้ามาเพื่อเร่งเธอ อีกฝ่ายเป็นหญิงสาวท่าทางไม่เป็นมิตรซึ่งทั้งเหมือน และไม่เหมือนกับอาจารย์ในเวลาเดียวกัน

ห้องที่อยู่ถัดมาเป็นห้องว่างเปล่าขนาดใหญ่ มีลวดลายประหลาดถูกวาดอยู่บนผนัง และพื้น อีกทั้งยังมีเก้าอี้ตัวใหญ่ตั้งโดดเดี่ยวอยู่กลางห้อง ผู้ใหญ่ในชุดสีขาวกลุ่มใหญ่กำลังยืนอยู่รอบๆ เก้าอี้ตัวนั้น หนึ่งในพวกเขาบอกให้เด็กหญิงนั่งลง และก่อนที่เธอจะทันได้ตอบก็มีผู้ใหญ่อีกคนจับฮาลัวให้นั่งลงบนนั้น บนเก้าอี้ที่สร้างจากเหล็ก และเย็บเฉียบ

"อย่าตกใจไปนะ คือว่าพวกเราตรวจพบว่าเธอป่วยเป็นโรคร้ายแรงน่ะ"

เสียงหนึ่งเอ่ยขึ้นอย่างนุ่มนวล แต่เด็กหญิงไม่แน่ใจว่ามันคือเสียงของผู้ใหญ่คนไหน และแล้วเธอก็ถูกปิดตา ฮาลัวพยายามจะดึงมันออก ทว่ามือ และเท้าของเธอกลับถูกมัดไว้

"ถ้าเธอไม่รีบเข้ารับการผ่าตัดทันทีล่ะก็ ชีวิตเธอเธอจะตกอยู่ในอันตรายนะ"

เธอคิดว่าเขาโกหก ตอนนี้เธอไม่เห็นมีอะไรผิดปรกติเลย ไม่เจ็บตรงไหน แล้วเธอก็ไม่มีไข้ ท้องก็ไม่ได้ปวด แถมเธอก็ไม่ได้ไอแล้วด้วย

"เอมิล! นายอยู่ที่ไหน"

"พวกเราจะปล่อยให้เชื้อแพร่ออกไปไม่ได้ เอมิลก็เลยกลับห้องไปแล้วน่ะ ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก"

นั่นไม่ใช่เรื่องที่หนูเป็นห่วงสักหน่อย หนูต้องรีบพาเอมิลไปจากที่นี่!

เธอเรียกชื่อของเอมิลไม่หยุด แต่ก็ต้องสิ้นหวังอย่างรวดเร็ว ปากของเธอถูกปิด ไม่ว่าเธอจะตะโกนเท่าใดก็จะไม่มีใครได้ยิน...

ฮาลัวได้กลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อ รู้สึกหนาวไปหมด ก่อนที่ความเจ็บปวดจะแล่นขึ้นมาบนแขน เธอถูกฉีดอะไรบางอย่างเข้ามาในร่างกาย และเมื่อเสียงร้องด้วยความตกใจของเธอเงียบลง เด็กหญิงก็ได้ยินเสียงการสนทนาของพวกผู้ใหญ่

"นี่ก็คนที่ 6 แล้วนะ พวกเราไม่มีร่างตัวอย่างเหลือแล้ว..."

"ไม่หรอก คราวนี้พวกเราต้องทำสำเร็จแน่"

"ถ้าเธอยังพอมีสติรู้สึกตัวเหลืออยู่บ้าง แค่นั้นก็คง..."

พวกเขากำลังพูดเรื่องอะไรกันน่ะ "คนที่ 6" หมายความว่ายังไง แล้วคำว่า "พอมีเหลืออยู่บ้าง" คืออะไรกัน

"ถึงพวกเราจะพลาด ก็ยังมีน้องชายของเธออยู่นี่ ยังไงซะญาติสายตรงก็ต้องมีคุณสมบัติเหมาะสมเหมือนกันอยู่แล้ว"

เด็กหญิงรู้สึกว่าเลือดในร่างกายพลันเย็นเฉียบ พวกเขากำลังจะฆ่าเธอ รวมทั้งเอมิลด้วย

ช่วยด้วย อาจารย์คะ ปกป้องเอมิลที!

ในที่สุดเสียงกรีดร้องก็ค่อยๆ หายไป พร้อมกับความมืดที่กลืนกินเข้ามา

ฮาลัวได้ยินเสียงใครบางคนกำลังเรียกเธอ มันไม่ใช่เสียงของแม่ หรือพ่อ แต่ก็ไม่ใช่เสียงของอาจารย์ด้วยเหมือนกัน

ใครกันนะ ปรกติเอมิลเรียกเธอว่า "พี่" นี่นา จริงสิ หนึ่งในพวกผู้ใหญ่กำลังเรียกเธอสินะ เธอเบื่อบทเรียนพวกนั้นเหลือเกิน บางทีการตรวจร่างกายอาจไม่ได้เลวร้ายก็ได้ เดี๋ยวก่อนนะ... เธอเคยผ่านเหตุการณ์นี้มาแล้วไม่ใช่เหรอ ใช่แล้ว ตอนที่เธอพยายามกลับไปที่ห้องของตัวเองหลังจากนั้น... ไม่สิ เธอไม่ได้กลับไปไม่ใช่เหรอ เธอไม่ได้ถูกปล่อยตัวให้กลับไป!

ครู่หนึ่งความทรงจำของเด็กหญิงก็กลับมา ฮาลัวยันตัวขึ้น เมื่อมองไปรอบๆ ก็พบว่าเธอยังอยู่ในห้องๆ นั้น ห้องที่มีลวดลายแปลกๆ บนผนัง และพื้น... แต่ดูเหมือนมีอะไรผิดปรกติไป

"ฮาลัว เธอเข้าใจที่ฉันพูดไหม"

เธอหันไปยังทิศที่เสียงดังขึ้นมา แต่ก็ไม่มีใครอยู่ตรงนั้น

"ทางนี้"

เสียงดังขึ้นจากอีกทาง เด็กหญิงหันหน้าไปอีกครั้ง แต่ก็ยังไม่มีใครอยู่ตรงนั้น ดูเหมือนว่าเธอจะได้ยินแค่เสียงของพวกเขา และมันก็ทำให้เธอเธอรู้สึกตัวได้ว่าทำไมตนเองถึงได้รู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างแปลกไป

"เยี่ยมไปเลย! พวกเราทำสำเร็จแล้ว"

ฮาลัวไม่สนใจเสียงพวกนั้นแล้วก้มลงมองเท้าของตัวเอง พื้นดูอยู่ห่างออกไปมา ดูเหมือนว่าเธอจะสูงขึ้นจนสังเกตได้ชัดราวกับว่าเธอถูกใส่เข้าไปในอะไรบางอย่างที่สูงมาก ทว่าสิ่งที่ทำให้เด็กหญิงรู้สึกประหลาดใจกลับไม่ใช่เรื่องนั้น

ขาทั้งสองข้างของเธอช่างดูเหมือนกับโครงกระดูกที่ได้เห็นในภาพประกอบของสารานุกรม เช่นเดียวกับแขน สีของมันดูคล้ายกับต้นไม้ที่แห้งตาย ส่วนลำตัวมีบางอย่างหุ้มเอาไว้จนทำให้เธอมองไม่เห็นมัน

น่ะ... นี่มันอะไรกัน

เด็กหญิงพยายามดึงสิ่งที่ห่อร่างของเธอออก แต่มันกลับติดแน่น

แขนมัน... ขยับอย่างนั้นเหรอ

เธอยกแขนขึ้นช้าๆ แล้วก็ต้องพบว่าตนสามารถขยับมันได้ เธอกางมือออกแล้วเริ่มขยับนิ้ว นิ้วโป้ง นิ้วชี้ นิ้วกลาง...

ร่ะ... หรือว่า

เสียงของเหล่าคนแปลกหน้าเริ่มพูดคุยกันเรื่อง "การทดลองอาวุธหมายเลข 6" และความหวังของมนุษยชาติ" แต่เธอไม่ได้สนใจมันเลยสักนิด

เด็กหญิงพยายามลุกขึ้นยืน แต่กลับไม่สามารถทำได้ ทว่าเธอก็เข้าใจแล้วว่าสิ่งที่หุ้มตัวของเธอไว้ที่แท้คือร่างกายของเธอเอง

ไม่นะ ไม่ นี่มันไม่ใช่ร่างกายของฉัน!

ฮาลัวปฏิเสธความจริงที่ต้องเผชิญ เธออยากจะวิ่งหนีไปให้ไกลจากที่นี่ ไปให้ไกลจากร่างกายนี้ เธอเริ่มดิ้นอย่างสิ้นหวัง

เสียงแห่งความยินดีเริ่มเปลี่ยนเป็นเสียงปลอบโยนเธอ

หุบปากนะ หุบปาก หุบปาก!

เด็กหญิงกระแทกกำแพงด้วยแรงทั้งหมด ได้ยินเสียงตื่นตระหนกร้องให้เธอหยุด แต่เธอไม่อยากเชื่อฟังมันอีกแล้ว เธอกระแทกกำแพงอีกครั้ง แรงปะทะรุนแรงที่สะท้อนกลับมาสร้างความเจ็บปวดบนแขนของเธอ ทำให้ในที่สุดเธอก็เข้าใจ

นี่... คือร่างกายฉัน แขน และขาปีศาจพวกนี้เป็นของฉัน

เธอใช้มือสัมผัสใบหน้าของตัวเองด้วยความหวาดกลัว มันไม่เหมือนมนุษย์เลย ที่จริงแล้วเธอไม่คิดว่ามันเรียกว่าใบหน้าได้เลยด้วยซ้ำ เด็กหญิงรับรู้ได้ว่าตัวเองไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไป

ฉันไปเจอเอมิลไม่ได้แล้ว ถ้าเขาเห็นฉันในสภาพนี้ล่ะก็เขาต้องกลัวจนวิ่งหนีไปแน่ ไม่ต้องสงสัยเลย ก็เอมิลเป็นพวกขี้กลัวนี่นา

พอคิดถึงเรื่องของเอมิล เธอก็จำเรื่องบางอย่างขึ้นมาได้ มันคือคำพูดที่ว่า "ถึงพวกเราจะพลาด ก็ยังมีน้องชายของเธออยู่นี่ ยังไงซะญาติสายตรงก็ต้องมีคุณสมบัติเหมาะสมเหมือนกันอยู่แล้ว"

พวกผู้ใหญ่ในเสื้อโค้ทสีขาวเคยพูดว่า "นี่คือคนที่ 6" และเสียงก่อนหน้านี้ก็พูดว่า "การทดลองอาวุธหมายเลข 6" หมายความว่าเคยมีเด็ก 5 คนถูกเปลี่ยนเป็นอะไรอย่างนี้ บางทีการที่พวกเด็กๆ ในอาคารซึ่งเธอเคยพบค่อยๆ หายไปคงเป็นเพราะพวกเขาถูกใช้เป็นหนูทดลองในการทดลองมนุษย์ มีเพียงเด็กที่มี "คุณสมบัติ" เท่านั้นที่ได้รับเลือกนำมาใช้ในการทดลองอาวุธ และถูกย้ายไปที่อาคารอื่น

ดูเหมือนว่าฮาลัวจะเป็น "ผลงานที่สำเร็จ" ชิ้นแรก นั่นหมายความว่าพวกเขาคงมีแผนที่จะสร้างมันขึ้นอีก และเอมิล น้องชายฝาแฝดของเธอก็มีคุณสมบัติเช่นกัน...

เธอคิดถึงใบหน้าของเอมิล ความไร้เดียงสาของเขา รอยยิ้มใสซื่อของเขา เธอจะต้องปกป้องเขาให้ได้ และความคิดนั่นก็กลายเป็นพลังความมุ่งร้าย ฮาลัวกระชากสิ่งที่ตรึงร่างกายของเธอออกแล้วยืนขึ้น เธอเตะประตูที่มุมหนึ่งของห้อง ก่อนอื่นเธอจะต้องออกไปจากที่นี่ แต่ด้วยร่างกายในตอนนี้ทำให้เธอไม่สามารถผ่านประตูที่ถูกสร้างให้มีขนาดเหมาะสมกับมนุษย์ได้ เธอจึงเริ่มลงมือฉีกทึ้งทั้งประตู และผนัง

เสียงสัญญาณเตือนภัยดังขึ้น ทันใดนั้นแผ่นเหล็กก็เคลื่อนมาปิดกำแพงไว้ทั้งหมด ฮาลัวรีบเข้าไปหยุดพวกมันด้วยมือเปล่า แต่พลังที่มองไม่เห็นบางอย่างก็พลักมันกระเด็นออกไปก่อน พอลองนึกดูดีๆ แล้ว ตอนนี้เธอคือ "อาวุธ" เธอคือปีศาจที่มีพลังอันตรายซึ่งสามารถทำให้กำแพงแตกร้าวได้เพียงแค่การต่อย และแค่ออกแรงเตะก็ทำให้ประตูเหล็กถูกทำลาย แต่พวกเขาก็ไม่ได้โง่ถึงขนาดที่จะปล่อยให้สิ่งนั้นอาละวาดตามใจ สัตว์ป่าคลุ้มคลั่งจะต้องถูกล่าม และขังไว้ในกรง

แผ่นเหล็กกล้าพวกนี้คงจะเป็นหนึ่งในระบบปกป้องพิเศษ ระบบที่แม้แต่ "อาวุธทดลอง" ก็ไม่สามารถทำลายมันได้ ทันใดนั้นห้องทั้งห้องก็มืดสนิท ดวงไฟทั้งหมดถูกปิด เสียงสัญญาณหยุดลง และทุกอย่างก็ตกสู่ความเงียบ เธอถูกขังไว้แล้ว พวกเขาหยุดส่งสัญญาณเตือนเพราะตัดสินใจได้ว่าฮาลัวไม่สามารถหนีออกไปได้

เธอพยายามกระแทกกำแพงอีกครั้ง แต่มันก็ช่างเหมือนกับพลุอ่อนแรงที่ถูกจุดในความมืด ร่างของฮาลัวกระเด็นกลับมา

ฉันจะไม่ยอมแพ้เด็ดขาด ฉันจะต้องปกป้องเอมิล ฉันจะยอมแพ้ไม่ได้

แขน ขา และร่างกายทั้งหมดของเธอเริ่มส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าดพร้อมกับความเจ็บปวด เบื้องหน้าของเธอกลายเป็นสีขาว มีบางอย่างกำลังจะระเบิดออกมา

ทันใดนั้นร่างของเธอก็ส่องสว่าง สิ่งที่พันธนาการเธอไว้หายไป และร่างกายของเด็กหญิงก็เป็นอิสระ มันไม่ใช่ทั้งสีดำสนิท หรือสีขาวสว่าง แต่ฮาลัวกำลังยืนอยู่ในแสงสว่างอย่างสมบูรณ์

เสียงสัญญาณเตือนที่ดังขึ้นอีกครั้งเรียกสติของเธอกลับมา กำแพงแตกออก แล้วเธอก็ออกไปข้างนอก แต่กลับไม่มีใครพยายามมาขวางเธอไว้แม้แต่คนเดียว พวกเขาคงไม่คิดว่าฮาลัวจะสามารถหนีออกมาจากห้องได้ บางทีพวกเขาอาจไม่เคยมีความคิดที่จะปล่อยเธอออกไป เธอยังจำเสียงตื่นตระหนกที่สั่งให้เธอหยุดได้ดี

แผ่นกั้นเริ่มปิดทางเดิน แต่เมื่อเทียบกับกำแพงแล้วมันก็บอบบางราวแผ่นกระดาษ ฮาลัวเตะมันออกอย่างง่ายดาย และเดินต่อไป

ฉันจะต้องทำลายทุกสิ่งทุกอย่างในอาคารนี้ ฉันจะไม่ยอมให้พวกเขาเปลี่ยนเอมิลให้กลายเป็นสัตว์ประหลาดเด็ดขาด ฉันจะต้องจัดการทุกอย่างที่เกี่ยวกับการทดลองอาวุธนี่ให้หมด

ความมุ่งร้ายกำลังปะทุอยู่ในร่างกายของเด็กหญิง เธอปลดปล่อยมันออกให้ เปลี่ยนมันให้กลายเป็นคมดาบตัดทุกสิ่งรอบตัว เพียงจ้องมองกำแพงที่ขวางทาง มันก็ถูกเพลิงเผาไหม้เป็นจุล เธอสามารถทำลายทุกสิ่งทุกอย่างเพียงแค่นึกคิด

ตอนนี้เด็กหญิงตระหนักได้ว่าตนไม่อาจถูกเรียกว่า "มนุษย์" ได้อีกต่อไปแล้ว เธอได้รับพลังเหนือมนุษย์มา พวกผู้ใหญ่พยายามจะใช้พลังนี้สู้กับอะไรบางอย่างอย่างนั้นหรือ พวกเขาคิดว่าการใช้พวกเด็กๆ เป็นเรื่องสะดวกดีอย่างนั้นหรือ

พวกผู้ใหญ่ในเสื้อโค้ทสีขาวต่างพากันวิ่งหนีด้วยความหวาดกลัวท่ามกลางเศษดิน และฝุ่นผง เธอจะไม่ยอมปล่อยให้ใครหนีรอดไปแม้แต่คนเดียว ฮาลัวคว้าร่างที่อยู่ใกล้ที่สุด แล้วบีบอีกฝ่ายจนเละเหมือนผลไม้ พวกเขาถูกบดขยี้ในมือของเธอจนไม่เหลือแม้แต่เค้าโครงเดิม

เอมิลอยู่ที่ไหน แล้วอาจารย์ล่ะ หรือว่าเธอจะพาเอมิลหนีไปแล้ว

ไม่หรอก อาจารย์คงไม่มีทางทำอย่างนั้น เธอต้องรู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้นที่นี่ รู้ดีว่าสองพี่น้องถูกเลี้ยงขึ้นมาเพื่อที่พวกเขาจะได้เปลี่ยนทั้งสองให้กลายเป็นปีศาจ ถึงอย่างไงเธอก็เป็นหนึ่งในพวกผู้ใหญ่พวกนั้น เธอไม่ได้เป็นอะไรไปมากกว่าคนที่คอยดูแลพวกเธอหรอก และแล้วเธอก็มาปรากฏให้เด็กหญิงเห็น สวมเสื้อโค้ทสีขาวอย่างที่ใส่อยู่เสมอ เธอยืนมองฮาลัวอยู่ตรงนั้น

ทั้งๆ ที่เธออยากจะเชื่อใจอีกฝ่าย ทั้งๆ ที่เธอรู้สึกดีใจตอนที่หญิงสาวบอกเธอว่ารักเธอ ทั้งๆ เธอรักที่จะได้ยินเสียงยามที่อีกฝ่ายอ่านหนังสือให้ฟัง

ริมฝีปากของอาจารย์ขยับ ดูเหมือนว่าเธอจะเรียกชื่อของฮาลัว และกล่าวคำว่าขอโทษ

ฉันจะไม่ยกโทษให้แก!

เด็กหญิงโกรธจัดจนแทบไม่อาจควบคุมตนเองไว้ได้ หัวใจของเธอเต้นอย่างรุนแรงจนราวกับว่ามันกำลังถูกระเบิดออกมา เธอใช้แรงทั้งหมดซัดสิ่งที่อยู่เบื้องหน้า ร่างในชุดสีขาวกระแทกเข้ากับกำแพง ทิ้งรอยสีแดงไว้บนนั้น

คนโกหก! ฉันเกลียดแก!

ฮาลัวร่ำไห้กรีดร้อง ถึงแม้จะไม่มีน้ำตา หรือเสียงออกมาแม้แต่น้อย เธอก็ยังคงร้องไห้ และกรีดร้องต่อไป

ตอนนั้นเองเด็กหญิงก็เห็นภาพสะท้อนของตัวเองบนกระจก ใบหน้ากลมของเธอมีดวงตาสีแดงของสัตว์ประหลาดปรากฏอยู่ แต่น่าแปลกที่เธอไม่รู้สึกเศร้าเลย หรืออย่างน้อยมันก็ไม่ใช่เหตุผลที่ทำให้เธอรู้สึกเสียใจ หรือต้องร่ำไห้...

หนีไป เอมิล! หนีไปให้ไกลจากที่นี่ ไปในที่ที่ไม่มีใคร ทั้งพวกผู้ใหญ่ในชุดสีขาว หรือว่าอาจารย์

เวลาผ่านไปนานเท่าไรแล้วนะ รู้สึกเหมือนจะหลายวัน แต่ก็เหมือนกับเพิ่งผ่านไปได้ไม่นาน ตอนนี้ทุกส่วนของอาคารถูกทำให้กลายเป็นกองขยะแล้ว แค่ทำลายมันจะพอหรือเปล่านะ แต่เธอก็หวังว่ามันคงเป็นอย่างนั้น

"พี่ครับ"

เด็กหญิงรู้สึกไม่อยากเชื่อสิ่งที่ได้ยิน ใครกันที่มาเรียกปีศาจแบบนี้ว่าพี่ เธอหันหลังกลับไปมอง คนๆ นั้นคือเอมิลอย่างไม่ต้องสงสัย ใบหน้าของเขามีความเศร้าหมองปรากฏอยู่ แล้วเขาก็ยื่นมือออกมา

ฮาลัวรีบวิ่งไปหาน้องชายโดยลืมนึกไปว่าตอนนี้ตัวเองหน้าตาเป็นอย่างไร พวกเราต้องออกไปจากที่นี่แล้วเอมิล ตอนนี้เลย ไปอยู่ในที่ห่างไกลที่ไหนสักที่ด้วยกันเถอะ

เธออยากวิ่งไปหาเขา แต่ขาของเธอกลับไม่ขยับ มันกำลังเริ่มกลายเป็นหิน ไม่ใช่แค่ขาเท่านั้น แต่ร่างกายทั้งหมดของเธอกำลังถูกแช่แข็ง ปรกติแล้วเธอคงสามารถหลุดจากการแช่แข็งแค่นี้ได้ง่ายๆ เธอรู้ดีว่ามันก็แค่ต้องออกแรงนิดหน่อย แต่ว่า...

"พี่ครับ ผม..."

เอมิลถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นอาวุธเช่นเดียวกับเธอ เขายังดูเหมือนเดิม แต่เด็กชายก็ได้รับดวงตาอันตรายที่สามารถเปลี่ยนทุกอย่างที่จ้องมองให้กลายเป็นหิน

ฉันปกป้องนายไว้ไม่ได้ ฉันอยากจะปกป้องนาย แต่ว่า...

มีบางอย่างบีบรัดหัวใจของเธอจนทำให้เธอรู้สึกราวกับว่ามันกำลังจะถูกทำลาย นี่คือความโกรธอย่างนั้นหรือ หรือว่าเป็นความเสียใจกัน

"ผมขอโทษครับ"

ไม่เป็นไรหรอก

ฮาลัวยิ้ม ตอนนี้ใบหน้าของเธอกลายเป็นหินแล้ว และถึงแม้เธอจะไม่รู้ว่าตัวเองยังสามารถยิ้มด้วยใบหน้าแบบนั้นได้หรือเปล่า แต่เธอก็รู้ดีว่าจิตสำนึกของมนุษย์ของเธอกำลังจะหายไป

"เวทมนต์ของพี่แข็งแกร่งเกินไป พวกเขาก็เลย... ก็เลยบอกว่าพี่ต้องถูกผนึกไว้เพราะว่ามันอันตรายเกินไป ผมขอโทษจริงๆ ครับ"

การมองใบหน้าที่มีน้ำตาพลั่งพลูของเอมิลทำให้เธอรู้สึกเจ็บ ได้โปรดทำให้ฉันเป็นหินมากกว่านี้เถอะ ถ้านายไม่ทำล่ะก็ ฉันคงหลุดออกไป อย่าปล่อยให้ฉันตื่นขึ้นมาได้อีก...

สีอะไรกันนะที่เธอจะฝันถึงยามที่กลายเป็นหิน

เสียงเรียกของเอมิลค่อยๆ หายไป แล้วฮาลัวก็ปล่อยให้ตัวเองตกสู่นิทรา

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Spoil NieR Automata Part 27 Ending E : the End of YoRHa และวิเคราะห์เนื้อเรื่องทั้งหมดตามใจฉัน

ผ้าปิดตาของ YoRHa