Grimoire Nier : The Little Mermaid


เครดิท : Nier Wikia



แสงสดใสที่แผดเผาดอกไม้ไร้ผล เสียงกรีดร้องอันสิ้นหวังของมันจะส่งถึงพระเจ้าหรือเปล่านะ



น้ำค้างยามเช้าปกคลุมชายฝั่ง บุรุษไปรษณีย์กำลังเดินอย่างไม่เร่งรีบ ลมหายใจของเขาเป็นไอสีขาว เขาต้องคอยหยุดเดินเป็นระยะเพื่อปรับสายรัดของกระเป๋าสะพายใบใหญ่ของตนด้วยเสียงโอดโอย

"ให้ตายเถอะ นี่ต้องทำให้อาการบาดเจ็บที่ขาของข้าแย่ลงแน่... หือ"

เงาดำขนาดใหญ่ปรากฏที่ด้านหน้า ตอนแรกเขาคิดว่ามันคือภูเขา แต่เมื่อหรี่ตาลงก็พบว่ามีสิ่งขนาดใหญ่บางอย่างอยู่บนแนวชายฝั่ง ชั่วขณะที่เห็นเงาดำนั้นร่างกายของเขาก็ตื่นตัวด้วยความกลัวที่มีต่อพวก Shades ปฏิกิริยาของบุรุษไปรษณีย์เป็นที่เข้าใจได้ ช่วงนี้มีคนหายตัวไปจากหมู่บ้านบ่อยๆ และมีข่าวลือหนาหูว่าเป็นฝีมือของพวก Shade

บุรุษไปรษณีย์เพ็งมองแต่เงาดำนั่นไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย อีกอย่างก็ไม่เคยมี Shade ตัวใหญ่ยักษ์ขนาดนั้นเสียหน่อย พอเข้าไปใกล้เขาก็เห็นเรือขนาดใหญ่ลำหนึ่ง เสากระโดงของมันหัก และตัวเรือเองก็ไม่ได้สภาพดีกว่ากันเท่าไร บางทีมันอาจอับปางเพราะพายุ ปืนใหญ่ที่ยังหลงเหลืออยู่ทำให้บอกได้ว่ามันคือเรือรบ

"ไม่น่าเชื่อเลยแฮะว่าเรือลำใหญ่ขนาดนี้จะมาเกยแนวปะการัง..."

เงาดำขนาดใหญ่ส่งเสียงลั่นเอี๊ยดอ๊าดชวนสยอง ถึงจะไม่ใช่ Shade แต่มันก็ยังคงน่ากลัว ตอนนั้นเองเขาก็เห็นอะไรบางอย่างกำลังขยับอยู่ภายในเรือ บุรุษไปรษณีย์ตัวแข็งทื่อ ตกลงว่ามี Shade อยู่จริงๆ อย่างนั้นหรือ

บุรุษไปรษณีย์ค่อยๆ ถอยออกมาตามคำแนะนำที่เพื่อนของเขาสอน ห้ามวิ่ง ห้ามหันหลัง ห้ามละสายตา... ถึงจะน่าสงสัยว่ามันได้ผลจริงหรือเปล่า แต่มันเป็นสิ่งที่เขาถูกสอนให้ทำเวลาต้องเผชิญกับ Shade อย่างไรเสียขาข้างขวาของเขาก็ยังบาดเจ็บ ไม่มีทางที่เขาจะวิ่งหนีได้อยู่แล้ว

ในตอนที่เขาถอยหลังไปได้ 3 ก้าว เขาก็ได้ยินเสียงแปลกๆ คล้ายกับ... เสียงไอ

บุรุษไปรษณีย์หยุดกึก เขาได้ยินเสียงนั่นอีกแล้ว และคราวนี้ก็ชัดว่ามันคือเสียงไอ เสียงเด็กกำลังไอ

เขาใช้เวลา 15 วินาทีเพื่อตัดสินใจ และอีก 60 วินาทีในการเริ่มเดินเข้าไป เวลานั้นเขาตั้งมั่นแล้วว่าไม่มีทางที่เขาจะทิ้งเด็กไว้คนเดียว

จากร่องรอยแตกหักข้างในแสดงว่าเรือลำนี้คงเผชิญกันพายุลูกใหญ่มา มีรูขนาดใหญ่ที่ด้านซ้าย และมีทรายอยู่เต็มไปหมด เขาก้าวขาเข้าไปอย่างระมัดระวัง ด้านในเรือมืดไปหมด ถึงอย่างนั้นแสงอาทิตย์ที่ลอดผ่านตามรอยแตกซึ่งกระจายอยู่ทั่วก็ทำให้มีแสงสว่างเพียงพอให้มองเห็น น้ำทะเลซึ่งหยดลงมาจากเพดานทำให้เขาต้องเดินบนพื้นเปียกด้วยความระแวง ทางเดินนั้นเต็มไปด้วยกลิ่นอายของท้องทะเล แล้วเขาก็ได้ยินเสียงไอดังขึ้นอีกครั้ง

เขาเดินไปหาต้นเสียง ผ่านทางเดิน เปิดประตูมองซ้ายขวาเพื่อหาเจ้าของเสียงภายในห้องที่ข้าวของระเกะระกะ ตอนนี้เขาอยู่ในห้องที่ลึกที่สุดของท้องเรือ เขาได้ยินเสียงไอมาจากในนี้ บุรุษไปรษณีย์มองสำรวจข้างใน เสียงไอดังขึ้น สิ่งที่ปรากฏต่อสายตาคือแขนขาเปราะบางที่เหมือนจะแตกหักได้ทุกขณะ ช่างน่าเวทนาจริงๆ ดวงตาสีดำทั้งสองมองมาที่บุรุษไปรษณีย์ด้วยความหวาดกลัว

มีเด็กผู้หญิงคนหนึ่งอยู่ในนี้



"อืม... พวกเราหาข้อมูลที่ใช้การได้ไม่ได้เลยแฮะ"

ไวส์บ่นมาจากตำแหน่งบนโต๊ะของเขา ส่วนเนียร์ยังคงทานปลาต่ออย่างไร้ท่าทีว่าเขาได้ยินสิ่งที่ไวส์พูดหรือไม่ บางครั้งไวส์ก็ชอบบ่นไปเรื่อยโดยไม่สนใจว่าจะมีใครอยากฟังหรือเปล่า ในเมื่อไม่มีอะไรให้ทำช่วงเวลาอาหาร เขาก็เลยชอบพูดมากกว่าปรกติ เนียร์ชินกับพฤติกรรมนี้แล้ว และก็ติดนิสัยที่จะไม่ตอบโต้อะไรกับไวส์ระหว่างรับประทานอาหาร

"นี่ เจ้าฟังอยู่หรือเปล่า"

"อือ"

"เจ้าคิดจะอยู่ที่นี่ถึงเมื่อไร"

"ไม่แน่ใจเหมือนกัน"

"แล้วเจ้าจะไปตามหา Shade ที่ไหน"

"กำลังคิดอยู่"

เป็นเวลากว่า 3 วันแล้วที่มีข่าวการหายตัวไปอย่างต่อเนื่องของชาวเมืองซีฟรอนท์ พวกเขาสืบหาร่องรอยการบุกรุกของ Shade แต่ก็ไม่พบเบาะแสที่มีประโยชน์ สุดท้ายก็เจอแต่เรื่องไร้สาระอย่าง "คนพวกนั้นถูกนางเงือกโจมตี" ถ้าเรื่องมีแค่นั้นพวกเขาคงปล่อยผ่านเหตุการณ์นี้ แต่ความจริงที่ว่าผู้คนยังคงหายตัวไปทำให้พวกเขาไม่อาจทิ้งเรื่องนี้ได้

หลังตอบรับคำของไวส์สั้นๆ เนียร์ก็สั่งบะหมี่ 2 ชามกับเจ้าของร้าน

"เจ้ายังจะกินอีกเหรอ"

"นี่ของไคเนกับเอมิลที่อยู่ข้างนอก" เขาตอบ และไวส์ก็ไม่พูดอะไรอีก

อาจเป็นเพราะอยู่ติดทะเล อาหารในบาร์จึงอร่อยมาก หลังจากต้องทนเผชิญกับอาหารฝีมือของโยนาห์ เนียร์ก็ไม่ใส่ใจความพิถีพิถันในการทำของอาหารใดๆ อีกตราบเท่าที่มันกินเข้าไปได้ ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังคงตั้งหน้ารอที่จะกินอาหารของเมืองนี้เสมอ เมื่อใดที่ได้กินของอร่อย เขามักจะคิดถึงโยนาห์ อยากให้โยนาห์กินนี่จัง อยากให้เธอยิ้มจังเลย ความคิดนั้นทำให้ความรู้สึกของเนียร์หมองลง

ไวส์เริ่มบ่นเกี่ยวกับตัวเขาอีกครั้ง อีกฝ่ายยังคุยกับเนียร์ต่อไปราวกับรู้สึกว่ามันเป็นหน้าที่



ณ ประตูที่อยู่ไกลที่สุดของทางเดินในเรือ

"อยู่ที่นี่เองเหรอ"

บุรุษไปรษณีย์เปิดประตู แล้วกลิ่นเปียกเค็มของทะเลก็ลอยออกไป

เด็กหญิงคนหนึ่งคลานออกมาจากข้างใต๊ะใกล้พังภายในห้อง บุรุษไปรษณีย์หยิบขนมปังแผ่นหนึ่งออกมาจากกระเป๋า แต่ก็ชะงักไปครู่หนึ่ง หากให้ขนมปังไป วันนี้เขาจะไม่เหลืออะไรให้กินอีก แต่หากไม่ให้ เด็กสาวก็จะกลายเป็นฝ่ายที่ต้องหิวโหยแทน หลังใช้เวลาตัดสินใจไม่นาน เขาก็วางขนมปังลงบนโต๊ะแล้วกวักมือเรียกให้เด็กหญิงมากิน เขาไม่ทราบว่าเหตุใดอีกฝ่ายถึงไม่สามารถพูดได้ เธอจะเอียงศีรษะทุกครั้งที่เขาพยายามสนทนาด้วย แต่หลังจากพบกันได้สองวัน เขาก็พอสื่อสารกับเธอได้ผ่านภาษามือ และภาษากาย

เด็กสาวมองขนมปังสลับกับบุรุษไปรษณีย์อยู่พักหนึ่งก่อนรีบสวาปามมันเข้าไป หลังจากจัดการอาหารไปโดยใช้เวลาเพียงเล็กน้อย เธอก็มองบุรุษไปรษณีย์อีกครั้ง

"ขอโทษนะ แต่ว่าเมืองนี้อาหารการกินไม่ค่อยสมบูรณ์ ข้าเลยเอาของมาได้ไม่เท่าไร"

บุรุษไปรษณีย์ยิ้มแหยขณะเอามือเกาหัวตัวเอง เด็กหญิงยังจ้องเขาโดยไม่แม้แต่จะพยักหน้ารับ ไม่ว่าเขาจะสอนเธอไปเท่าไร อีกฝ่ายก็ยังพูดไม่ได้อยู่ดี เธอมีชีวิตรอดมาถึงตอนนี้ได้ยังไงกันนะ

เด็กสาวทำจมูกฟุดฟิด ดูเหมือนเธอจะได้กลิ่นอะไรบางอย่างแล้วมองมาที่กระเป๋าของบุรุษไปรษณีย์ เขาเลยหยิบเศษขนมปังออกมาให้เธอดู

"เศษขนมปังนี่มันเก่าแล้วน่ะ ข้ากำลังคิดอยู่ว่าจะเอามันไปให้พวกนกนางนวล..."

เด็กหญิงกัดเศษขนมปัง ก่อนรีบกินเข้าไปจนสำลัก ถึงอย่างนั้นบุรุษไปรษณีย์ก็ไม่ได้ห้าม เขาหัวเราะขณะตบหลังอีกฝ่าย

"ไม่มีใครมาแย่งเจ้าหรอก เพราะฉะนั้นไม่ต้อง รี..บ... โอ๊ย!"

เด็กสาวเผลอกัดนิ้วของบุรุษไปรษณีย์เข้าไปพร้อมกับเศษขนมปัง เลือดไหลออกมาจากบาดแผล เขาสบตากับอีกฝ่าย

"ฮ่าฮ่าฮ่ะ... เจ้านี่ใจร้อนจริงๆ แฮะ"

บุรุษไปรษณีย์ฝืนยิ้ม เด็กหญิงมองเลือดซึ่งกำลังหยดด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก เด็กคนนี้แปลกจัง... เขามองเด็กสาวประหลาดจนลืมเช็ดเลือดออกจากนิ้ว

วันต่อมา เด็กหญิงกำลังนั่งอยู่บนโต๊ะตอนที่เขามาถึงห้องของเธอ บุรุษไปรษณีย์หยิบริบบิ้นสีขาวออกมาจากกระเป๋า อีกฝ่ายยื่นมือมาให้ ดูเหมือนเธอจะเริ่มชินกับเรื่องพวกนี้แล้ว

"นี่คือริบบิ้นไงล่ะ พวกผู้หญิงชอบใช้เจ้านี้ผูกผม มานี่สิ ข้าจะผูกให้เจ้าเอง"

ตอนที่บุรุษไปรษณีย์สัมผัสผมของเธอ เด็กสาวก็ตัวแข็งไปชั่วขณะก่อนจะผ่อนคลายลง

"ทำไมผมของเจ้าถึงเปียกไปหมดล่ะ เจ้าออกไปข้างนอกมาเหรอ"

เด็กหญิงไม่ตอบสนองใดๆ กลับมา

"งั้นเดี๋ยวข้าช่วยเอง"

บุรุษไปรษณีย์เช็ดผมของเธอด้วยผ้าเช็ดหน้าของเขาระหว่างที่เด็กสาวเล่นริบบิ้นสีขาวในมืออย่างไร้จุดหมาย เขามองเห็นจุดแสงบนผมของเธอ แสงสุดท้ายของวันที่ส่องลอดผ่านรอยแตกเล็กๆ ในห้องนี้ เขาหรี่ตาลง

"ข้าชอบแสงอาทิตย์ช่วงเวลานี้ที่สุดเลย... มันดูอ่อนโยนดีนะ"

เขาได้ยินเสียงวูบวาบ และการเคลื่อนไหวของอากาศจากด้านหลัง ตอนที่เขาหันกลับเด็กหญิงก็หายไปแล้ว เธอไปไหนกัน พอมองไปที่โต๊ะเขาก็ได้คำตอบ อีกฝ่ายกำลังนั่งตัวสั่นอยู่ใต้โต๊ะตัวนั้น

"อ้ะ เป็นอะไรไป เจ้ากลัวอะไรอย่างนั้นเหรอ"

เด็กสาวชี้ไปที่แสงสีทองซึ่งส่องเข้ามา

"... ข้าเข้าใจแล้ว เจ้าอาศัยอยู่ในความมืดมานานเกินไปจนตาของเจ้าทนแสงไม่ได้สินะ"

จะว่าไปแล้วก็จะปล่อยให้เธอมีชีวิตอย่างนี้ตลอดไปไม่ได้ สักวันหนึ่งเขาจะต้องพาเด็กคนนี้ออกไปด้วยกัน เธอจะได้มีชีวิตที่ดีต่อสุขภาพมากกว่านี้... 

แสงอาทิตย์ยามพลบค่ำค่อยๆ เคลื่อนตัวออกไปช้าๆ



"จริงด้วย พอเจ้าพูดถึงเรื่องนั้นแล้ว ที่จริงเรื่องมันก็เริ่มเกิดช่วงที่เรือนั่นมาถึงพอดี"

หญิงสาวเจ้าของร้านขายวัสดุกล่าวขณะขยับเอวอุ้ยอ้าย เมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อนมีเรือโบราณขนาดใหญ่ลำหนึ่งเข้ามาเกยฝั่ง ดูเหมือนว่ามันจะเผชิญกับพายุลูกใหญ่และพวกเขาก็ไม่พบผู้รอดชีวิต ไม่ใช่สิ ไม่มีใครอยู่บนเรือตอนที่ชาวเมืองเจอมันเลยต่างหาก

"ข้าเห็นบุรุษไปรษณีย์ชอบไปอยู่แถวนั้นบ่อยๆ พวกเจ้าลองถามเขาดูสิ"

เนียร์ซื้อหมากฝรั่งรสดั่งเดิมเพื่อแสดงความขอบคุณก่อนผละจากร้าน แล้วไวส์ที่ลอยอยู่ข้างๆ ก็เอ่ยกับเนียร์

"บุรุษไปรษณีย์อย่างนั้นเหรอ ชวนให้นึกถึงเรื่องของหญิงแก่ตอนนั้นเลยแฮะ ตอนนี้พอมาคิดๆ ดูแล้ว..." ระหว่างที่ไวส์ยังพูดไม่จบ เนียร์ก็สังเกตเห็นบางอย่าง

"ไคเน!"

ไคเนกวักมือเรียกเขาให้เข้าไปในตรอก เธอไม่อาจเข้าไปในเมืองที่มีคนพลุ่กพล่านได้เนื่องจากตระหนักดีถึงเรื่องที่ตนมี Shade สิงอยู่ในร่าง การเหยียดมีแต่ทำให้คนต้องเจ็บปวด ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายที่ถูกกระทำหรือฝ่ายกระทำเองก็ตาม มีเพียง 2 เหตุผลเท่านั้นที่ทำให้ไคเนเหยียบเข้ามาในเมือง นั่นคือมีเรื่องที่แย่มากเกิดขึ้น หรือมีเรื่องที่แย่มากๆ เกิดขึ้น

เนียร์เดินไปหาไคเนด้วยความรู้สึกผิด และความรู้สึกผิดก็ยิ่งมากขึ้นเมื่อไคเนเอ่ยขึ้นมาว่า "ที่ชายฝั่งมีเรืออับปางจอดอยู่..."

เมฆปกคลุมทั่วผืนฟ้า และอากาศก็บ่งบอกว่าพายุกำลังจะมา



สายลมกำลังโหมกระหน่ำ

เรือยักษ์เริ่มส่งเสียงลั่นอีกครั้ง สร้างความกังวลให้กับทุกคนที่เฝ้ามอง เด็กสาวกับบุรุษไปรษณีย์อยู่ในห้องประจำของพวกเขา เธอซุกตัวกับเสื้อของบุรุษไปรษณีย์

"ฮ่ะๆ... แม้แต่เจ้าก็มีเรื่องที่กลัวด้วยเหรอเนี่ย"

บุรุษไปรษณีย์หยิบอาหารออกมา แต่เด็กสาวกลับส่ายหน้า

"เป็นอะไรไป เจ้าไม่หิวเหรอ"

เด็กหญิงพยักหน้า

เสียงคำรามของท้องทะเลดังให้ได้ยินจากไกลๆ เด็กสาวตัวสั่นเทา

"ถ้าอย่างนั้นก็!"

จู่ๆ บุรุษไปรษณีย์ก็ลุกพรวด ก่อนเริ่มร้องเพลงพลางกระทืบเท้าไปด้วย แม้จะร้องเสียงหลง แต่บทเพลงอันเรียบง่ายนั้นก็ถูกถ่ายทอดออกมา เด็กหญิงตัวแข็งทื่อ

"ฮ่ะๆๆ ... ขอโทษที นี่เขาเรียกว่าเพลงน่ะ เวลาที่ได้เปล่งเสียงออกมาจากส่วนลึกสุดของท้องมันจะทำให้เจ้ารู้สึกดีขึ้นนะ เพลงเป็นพลังที่ช่วยให้พวกเราผ่านพ้นช่วงเวลาที่ลำบากไปได้ เพราะฉะนั้นข้าถึงได้ร้องเพลงไงล่ะ ถึงจะร้องแย่ไปหน่อยก็เถอะ แต่ว่า..."

บุรุษไปรษณีย์เอ่ย ในที่สุดเด็กหญิงก็พยายามจะเลียนแบบและร้องเพลงออกมา เพลงของเธอฟังไม่ค่อยเป็นทำนองเท่าไร ที่จริงมันไม่เหมือนเสียงพูดเลยด้วยซ้ำ มันเป็นเสียงชวนสยองคล้ายกับเวลาขยี้ถุงกระดาษ แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้นบุรุษไปรษณีย์ก็รู้สึกยินดีเป็นอย่างมาก และปรบมือ 

"ดีมาก เจ้าทำได้ดีมาก!"

เด็กหญิงมองบุรุษไปรษณีย์ผู้กำลังเต็มเปี่ยมด้วยความสุข แล้วร้องเพลงด้วยเสียงแย่ๆ ของเธอต่อด้วยความเขินอาย เสียงของเด็กสาวดังก้องไปทั่วเรือที่ผุพัง 

แต่เมื่อลำแสงส่องมาที่เรือ เด็กหญิงก็หยุด

"ไม่เป็นไร นั่นไม่ใช่แสงอาทิตย์หรอก แค่ไฟจากประภาคารน่ะ... คนรู้จักของข้าเคยอาศัยอยู่ที่นั่นมาก่อน แต่นางตายไปแล้ว ข้าเคยไปส่งจดหมายที่บ้านของนางบ่อยๆ พูดตามตรงนะ มันเป็นงานที่ลำบากมากเลยล่ะ แต่พอถึงตอนนี้ข้ากลับรู้สึกคิดถึงมันขึ้นมา"

เด็กสาวไม่เข้าใจสิ่งที่บุรุษไปรษณีย์พูด เขาลูบหัวของเธอ

"ข้าชอบอยู่คนเดียว พอใจกับการต้องส่งจดหมายพวกนี้ทุกๆ วัน จดหมายที่เขียนโดยคนที่นึกถึงผู้รับอย่างสุดหัวใจ แต่ไม่นานมานี้ ข้าเริ่มมีความคิดว่าอยากจะเป็นคนที่นึกถึงใครสักคนมากพอที่จะเขียนจดหมายถึงอีกฝ่ายแล้วล่ะ... เจ้าไม่มาอยู่กับข้าเหรอ จริงๆ แล้วข้าก็อยากมีลูกสาวเหมือนกัน"

บุรุษไปรษณีย์ดึงมือของอีกฝ่าย แต่เด็กหญิงกลับผละตัวออก เธอส่ายหน้า แล้วชี้ไปที่พื้นห้อง

"เจ้าอยากอยู่ที่นี่อย่างนั้นเหรอ แย่จัง แต่ว่าข้าคงไม่..."

เมื่อบุรุษไปรษณีย์มองไปบนพื้นในจุดที่เด็กหญิงชี้ก็พบว่ามีบางอย่างอยู่ตรงนั้น ด้วยความมืดทำให้เขามองมันได้ไม่ชัดนัก แต่เหมือนมีของเหลวบางอย่างกำลังไหลออกมา มือที่ยื่นไปสัมผัสรู้สึกถึงความลื่น และเมื่อไฟจากประภาคารส่องเข้ามาในห้อง เขาก็เห็นมือที่ชุ่มเลือดของตนภายใต้แสงนั้น 

บุรุษไปรษณีย์หันไปมองเด็กสาว

มีเพียงบทเพลงแห่งความปิติอันแหลกสลายที่ดังก้องทั่วทั้งห้อง



ถึงแม้จะอยู่บนยอดเขาก็ยังเป็นเรื่องยากที่จะมองเห็นเรือทั้งลำ นาวาสีดำซึ่งเอียงเข้าหาแนวปะการังและมีรูมหึมาที่ด้านข้างใหญ่ขนาดนั้นนั่นแหละ ทุกอย่างบนนั้นล้วนแตกหักไม่ต่างจากเสากระโดง คงเป็นเพราะเจอกับพายุลูกใหญ่มากแน่นอน

"นี่คือเรือนั่นเหรอ"

เนียร์ถามไคเน พวกเขามาที่นี่เพราะเธอบอกว่า "อาจจะมีพวก Shade อยู่บนเรือ" ด้วยความที่เป็นคนซึ่งถูก Shade สิง หญิงสาวจึงสามารถรับรู้ถึงตัวตนของ Shade ที่อยู่ใกล้ๆ ได้ ที่จริงเธอยังเข้าใจสิ่งที่พวกมันพูดด้วย แต่เธอเก็บเรื่องนี้เป็นความลับกับเนียร์และคนอื่นๆ 

"ใช่... แต่ก็ยังไม่แน่ใจเท่าไร"

ไคเนตอบ ความรู้สึกจากร่างกายซีกซ้ายบอกเธอว่า เจ้า "บางอย่าง" นั่นอยู่บนเรือ แต่ความรู้สึกนั้นกลับต่างจาก Shade ปรกติอย่างสิ้นเชิง เธอไม่เคยรู้สึกแบบนี้ก่อน พอเห็นหญิงสาวสับสนเช่นนั้นไวส์จึงล้อเลียนขึ้นมา

"แหม พลังที่มีแค่อย่างเดียวของหญิงชั่วใช้ที่นี่ไม่ได้สินะ"

"ท่านไวส์!"

เอมิลติ

ปรกติไคเนคงตอกกลับบางอย่างไปเช่น "ไอ้กระดาษเฮงซวย" หรือไม่ก็ "ไอ้หนังสือเวรตะไล" แต่ตอนนี้เธอกลับเงียบ ทุกคนรับรู้ถึงความกังวลที่แทรกซึมอยู่ในบรรยากาศ จะต้องมีเรื่องที่ไม่ถูกต้องเกิดขึ้นแน่ เนียร์ชักดาบของเขาออกมา

"พวกเราต้องไปดูด้วยตาของตัวเองแล้วล่ะ"



ห้องอันมืดมิด

เลือดที่นองบนพื้น

คนๆ นั้นไม่อยู่ที่นี่แล้ว เพราะฉะนั้นไม่เป็นอะไรหรอก

เด็กหญิงตัวสั่นเทาอยู่ที่มุมหนึ่งของห้อง กรงเล็บสีดำอันใหญ่งอกออกมาจากข้อมือของเธอ ทำไม... ต้องเป็นอย่างนี้ด้วย

คนๆ นั้นจากไป... เพราะร่างกายสีดำสนิทนี้หรือ

ฉันอยากจะพูดกับเขาแบบปรกติ...

ฉันไม่อยากถูกเขาเกลียด

... ฉันไม่อยากถูกเขากลัว

เมื่อนึกถึงบุรุษไปรษณีย์ เธอก็พยายามหยุดไม่ให้ตัวเองกลายร่างเป็น Shade

ฉันจะต้อง... ใช้พลังมากกว่านี้ ถ้าคนๆ นั้นเห็นฉันที่เป็นแบบนี้ล่ะก็...

ฉันอยากมีพลังที่สามารถคงร่างมนุษย์ของตัวเองไว้

พลังที่ทำให้สามารถยืนอยู่ท่ามกลางแสงแดด

พลังที่ทำให้สามารถเปล่งเสียงได้ไพเราะ

หยาดน้ำสีซีดไหลออกมาจากดวงตาของเธอ

ด้วยเจตจำนงค์อันแน่วแน่ เธอเลยสามารถเปลี่ยนแขนสีดำให้เปลี่ยนกลับเป็นแขนของมนุษย์ได้ 

ถ้าฉันกินมนุษย์มากกว่านี้...

ริมฝีปากของเธอสั่นระริก

[ถ้าทำแบบนั้น ฉันอาจได้กลายเป็นมนุษย์...]

เธอกล่าวด้วยเสียงที่มนุษย์ไม่อาจได้ยิน เสียงที่ราวกับโลหะเสียดสีกัน เสียงของ Shade



หญิงสาวรู้สึกว่าลำคอแห้งผาก ฝ่ามือของเธอไม่มีเหงื่อออกแม้แต่น้อยแม้จะกำดาบไว้แน่น ยิ่งเดินเข้าไปในเรือมากเท่าไร ความรู้สึกหนาวเย็นก็ยิ่งทวีขึ้น

"เจ้าไหวหรือเปล่า"

เนียร์ถามไคเนด้วยความเป็นห่วงหลังสังเกตเห็นใบหน้าสีซีดของเธอ หญิงสาวยกมุมปากขึ้นแล้วตอบว่า

"ก็ไม่เชิงหรอก แต่ถึงบอกไป เจ้าก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี"

เพราะปัญหาอยู่ที่ข้างหน้านั่น

[เหอะๆ... พวกเรากำลังเข้าใกล้บางอย่างที่เลวร้ายอยู่ ใช่ไหม... ไคเน]

ไทเรนน์เอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่เป็นมิตร เขาก็เป็นแบบนี้เสมอ นอกจากไม่คิดจะช่วยแล้วยังไม่รู้สึกรู้สาเวลาเห็นคนอื่นเทุกข์ร้อน แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นไทเรนน์เองก็รู้สึกได้ว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง เขาก็เลยดูต่างไปจากทุกที

ไคเนเพ็งสมาธิบน Shade ผู้อยู่ในร่างครึ่งหนึ่งของเธอ หญิงสาวเริ่มรับรู้ถึงสาเหตุของความหนาวเย็นที่เผชิญ แรงสั่นสะเทือนอันไร้เสียงก้องในร่างส่วนที่เป็น Shade ไม่มีใครนอกจากไคเนที่สามารถเข้าใจความรู้สึกที่เกิดจากเสียงสะท้อนนั้นได้ แต่หากต้องอธิบายเป็นคำพูดแล้วล่ะก็ มันคงเป็นคำว่า "ความกลัว" ไคเนขมวดคิ้ว เธอกำลังกลัวอย่างนั้นหรือ

หญิงสาวไม่สามารถยอมรับเรื่องนั้น และเดินเข้าไปในเรือพร้อมเนียร์กับคนอื่นๆ ต่อ เมื่อถึงส่วนที่ลึกที่สุดของเรือ จู่ๆ เนียร์ก็หยุดเดินในความมืด

"ห้องข้างหน้านี่เป็นที่สุดท้ายแล้ว"

ไคเนอยากพูดว่า "อย่านะ" แต่ก่อนที่จะรวบรวมคำออกมาได้ มันก็หายเข้าไปในลำคอแห้งผากของเธอ

ห้องถูกออกแบบอย่างเรียบง่าย มีเพียงโต๊ะและเก้าอี้อย่างละหนึ่งตัว ไม่มีสิ่งคล้ายหน้าต่างปรากฏให้เห็น ที่นี่อาจเป็นห้องของกัปตัน แผนที่และชั้นวางหนังสือถูกวางจัดวางอย่างเป็นระเบียบ และมีเด็กหญิงตัวเล็กคนหนึ่งยืนอยู่ข้างโต๊ะ

ผมสีดำ ผิวสีซีด เสื้อผ้าสกปรก ดวงตาสีแดง

ไคเนเข้าใจทุกอย่างในทันที ความจริงเบื้องหลังความหนาวสั่นนี้

[เหอะๆ... เจ้านี่... ค่อนข้างอันตรายเลยแฮะ...]

แม้แต่ไทเรนน์ก็ยังกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงหวาดกลัว

ใช่แล้ว เด็กหญิงคนนี้คือ Shade แต่ไม่ใช่แบบปรกติทั่วไป เธอมี "ความมุ่งมั่น" มากกว่าอย่างเห็นได้ชัด เธอดำรงอยู่ด้วย "ความตั้งใจ" มากกว่า Shade ปรกติหลายร้อยเท่า 

Shade มีขนาดตัวใกล้เคียงกับมนุษย์ เพื่อให้มีขนาดใหญ่ขึ้น มันจำเป็นต้องรวม Shade จำนวนมากเข้ามาในร่าง และการหลอมรวมนี้ก็จะทำให้ Shade มีทั้งพลังและขนาดมากขึ้น Shade ตัวที่โจมตีหมู่บ้านของเนียร์ และไอ้สารเลวที่ฆ่าย่าของเธอก็เป็นเช่นนั้น Shade ที่รวมร่างกันจะถูกหลอมรวมสติสัมปชัญญะ และยิ่งมีขนาดตัวใหญ่เท่าไรมันก็ยิ่งมีพลังมากขึ้นเท่านั้น ไคเนได้ข้อมูลนี้จากประสบการณ์การต่อสู้ที่ผ่านมา

ทว่าเด็กหญิงตรงหน้ากลับต่างออกไป อีกฝ่ายแข็งแกร่งกว่าเจ้าเวรตะไลพวกนั้นมาก ไคเนบอกได้เลยว่าความหนาวสั่นภายในตัวเธอกำลังกรีดร้อง ที่สำคัญเด็กหญิงก็ตัวเล็กมาก... ไคเนรู้ว่าการที่ร่างกายของอีกฝ่ายมีขนาดเท่านั้นหมายความว่าอย่างไร เด็กสาวคงสภาพไม่ให้ร่างขยายโดยการใช้พลังปริมาณเท่ากันต้านไว้ อีกแง่หนึ่งก็คือ "พลัง" ที่เธอรับรู้ได้ในตอนนี้เป็นแค่เศษเสี้ยวของพลังทั้งหมดของเด็กหญิงเท่านั้น

แรงสั่นสะเทือนที่เกิดขึ้นจนถึงตอนนี้เป็นเพราะพลังของอีกฝ่ายกำลังคุกคามพวกเธออยู่ หญิงสาวรับรู้ถึงพลังของ Shade ซึ่งแผ่ซ่านออกมา พอนึกว่าหากพลังทั้งหมดนั่นถูกปลดปล่อยออกมาจะมีมากเท่าใดร่างของเธอก็สะท้านไปหมด แล้วไทเรนน์ก็เอ่ยด้วยเสียงสั่นเครือ

[ความกดดันที่พวกเรารู้สึกในตอนนี้... สำหรับเจ้านั่นแล้วคงเป็นแค่เรื่องธรรมดาเหมือนการหายใจสินะ... ฮ่าๆๆ... ถึงคราวซวยกันจริงๆ แล้ว... ว่าไหม]

ยังมีเรื่องของ Shade อีกเรื่องที่หญิงสาวเรียนรู้มา ยิ่งพวกมันหลอมรวมกันมากเท่าไร พวกมันก็จะยิ่งสูญเสียสติไปมากเท่านั้น เหมือนกับที่ Shade ซึ่งรวมร่างกันในเอรีย์กลายเป็นเพียงก้อนระเบิดเวทมนต์ยักษ์ การหลอมรวมกับ Shade อื่นจะมันให้มันยิ่งโง่ลง ดังนั้นจึงสรุปง่ายๆ ไม่ได้ว่า "ยิ่งรวมร่างกันก็จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้น"

ในกรณีที่เลวร้ายที่สุด Shade ตัวเล็กนี่อาจไม่ได้หลอมรวมกับตัวอื่นและมีเพียงแค่ตัวตนเดียว ซึ่งนั่นหมายความว่าเจ้านี่อันตรายถึงขนาดที่สามารถมีพลังขนาดนี้ได้โดยไม่ต้องรวมร่าง กลิ่นอายแห่งความอันตรายคละคลุ้งทั่วบรรยากาศ

เด็กหญิงไม่กระพริบตา

เนียร์กับเอมิลไม่ขยับ

พวกเขาไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร นี่มันเหมือนกับการยืนอยู่ข้างระเบิดที่กำลังใกล้จะปะทุเต็มทีชัดๆ

"ห่ะ พวกเจ้ามาทำอะไรที่นี่น่ะ"

เสียงหนึ่งดังขึ้นจากหน้าทางเข้า บุรุษไปรษณีย์ยืนอยู่ตรงนั้น

"โถ่ ถ้าพวกเจ้าจะมาที่นี่ก็น่าจะบอกกันหน่อยสิ... ข้ามีเรื่องอยากถามพวกเจ้าอยู่พอดี" ชายหนุ่มพูดด้วยด้วยน้ำเสียงเป็นกันเองขณะวางกระเป๋าลงบนพื้น เมื่อเข้ามาใกล้ไคเนเขาก็เอ่ยถาม "โทษทีนะ พอดีข้าอยากรู้... เกี่ยวกับระดูนางหรืออะไรนั่น..."

เรื่องไร้สาระนี่หว่า

ไคเนขยับริมฝีปากแห้งผาก เธอจำเป็นต้องบอกพวกเขา แต่ก็ไม่อาจส่งเสียงออกไปได้ หญิงสาวหันไปหาเนียร์กับเอมิลแล้วขยับปาก

(เจ้านี่คือ Shade)

ทันใดนั้นเด็กหญิงก็เคลื่อนไหว เธอจ้องมาที่ไคเน แรงสั่นสะเทือนบอกลางร้ายดังขึ้น เมื่อบุรุษไปรษณีย์หันกลับไปมองกระเป๋า เด็กหญิงก็ระเบิดกลายเป็นสีดำ หอกทมิฬจำนวนมากงอกออกมาจากร่างกายของเธอ ขณะเดียวกันเนียร์ผู้ซึ่งอยู่ข้างเด็กหญิงก็รีบตั้งรับทันที หอกมากมายซัดทะลุเพดานและพื้น ไคเนกับเอมิลคว้าตัวบุรุษไปรษณีย์ไปที่ทางออก เนียร์ซึ่งรั้งท้ายอยู่ด้านหลังรีบตามไปพร้อมตะโกนบอกให้พวกเธอวิ่ง ตอนนั้นเองความคิดของ Shade ก็ไหลเข้ามาให้หัวของไคเน

ทำไมฉันถึงต้องเป็น Shade

ใครก็ได้ช่วยบอกฉันที!

ทำไมฉันถึงไม่ได้เป็นมนุษย์ล่ะ

ทำไมถึงต้องพรากคนๆ นั้นไปจากฉันด้วย

[อย่าลดการตั้งรับนะ!] 

น้ำเสียงของไทนเรนน์ไร้ซึ่งความทีเล่นทีจริงต่างจากปรกติ

ทันทีที่พ้นจากทางเดิน หอกยักษ์ Shade จากตัวของเด็กหญิงก็โจมตีพวกพวกเขาทั้งจากกำแพง เพดาน และพื้นเพื่อไล่ล่าผู้หลบหนี เนียร์วิ่งนำออกไปจัดการหอกพวกนั้น แต่เขาก็ไม่สามารถรับมือกับพวกมันทั้งหมด ไคเนจึงเข้าไปช่วยเหลืออีกฝ่าย และส่งบุรุษไปรษณีย์ให้เอมิลซึ่งรีบคาบคนที่หมดสติไว้

"ทางออกอยู่ตรงนี้"

ทันทีที่เนียร์ตะโกนออกไปเมื่อเห็นแสงจากทางออก หอกจำนวนมากก็พุ่งขึ้นมาขวางทางไว้ ไคเนกระโดดข้ามเอมิลไปเตะทำลายสิ่งกีดขวางที่ทางออกแล้วตีลังกาออกจากเรือ แต่ยังไม่ทันที่เอมิลจะออกมา ทางออก เขาก็ถูกขวางไว้อีกครั้ง เนียร์ตามหลังมาติดๆ

“เอมิล!”

เนียร์ปัดหอกทมิฬไปด้านข้างเพื่อปกป้องเด็กชาย แต่ก็ถูกมือ Shade จำนวนหนึ่งโจมตีจากด้านบน แรงจู่โจมนั้นทำให้บุรุษไปรษณีย์หลุดออกจากปากของเอมิล

“อา ท่านบุรุษไปรษณีย์!”

เนียร์กับเอมิลถูกกระแทกจนกระเด็นออกมานอกเรือและกลิ้งบนทรายหลายตลบ ไคเนรีบหันกลับไป หอกสีดำแทงทะลุเรือจากจุดต่างๆ ตอนแรกเหมือนพวกมันจะกระจายออกไป แต่แล้วพวกมันก็กลับเริ่มพันตัวเองเข้าด้วยกันจนเหมือนงูตัวใหญ่ และรยางค์อีกส่วนหนึ่งก็โผล่ออกมาจากเรือ

ด้านนอกเรือมีหมอกอยู่บางเบา แสงอาทิตย์ฉายจ้าจนเนียร์กับคนอื่นๆ ต้องหรี่ตาลง แสงนั้นสว่างพอที่จะทำให้ Shade ทั่วไปตายในทันที แต่รยางค์สีดำกลับไม่สนใจข้อเท็จจริงนั้นแล้วพุ่งตัวออกมา แม้ผิวจะถูกเผาไหม้จากการถูกแสง ทว่าเนื้อเยื่อก็กลับถูกสร้างทดแทนใหม่อย่างรวดเร็ว

"มันไม่ตาย... ทั้งๆ ที่ถูกแสงตรงๆ เหรอ" เอมิลเอ่ยอย่างสิ้นหวัง

ในที่สุดสิ่งที่รูปร่างคล้ายไข่ก็ก่อตัวขึ้นท่ามกลางกลุ่มรยางค์ ไข่ที่ถูกรยางค์ห่ออยู่รอบๆ ค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้น เปลือกของมันกระเทาะและลอกออกราวเปลือกผลไม้ ก่อนแปรเปลี่ยนเป็นปีกขนาดมหึมา ภายใต้ปีกนั้นเอง ร่างกายครึ่งบนของเด็กหญิงก็เผยออกมาจากกลางไข่ ร่างสีดำสนิทที่กำลังสั่นไหวของเธอดูราวกับงอกออกมาจากดาดฟ้าเรือ แค่ร่างกายส่วนบนนั้นก็สูงกว่า 10 เมตรแล้ว

ปีกอีกจำนวนหนึ่งงอกออกมาจากร่างกายครึ่งบนของเธอ ไคเนรู้ดีว่านั่นเป็นแค่ส่วนเสริมเท่านั้น เวทมนต์จำนวนมหาศาลที่มากเกินความจำเป็นนั้นกลายเป็นปีกให้กับ Shade ปีกซึ่งสยายกว้างกว่า 100 เมตร มันมีขนาดใหญ่มากว่าเรือทั้งลำหลายเท่า และยังขยายออกไปอีกขณะที่ควันแผ่ออกมาจากร่าง

ร่างของ Shade ที่อาบไล้ด้วยแสงอาทิตย์ช่างดูงดงามราวเรื่องโกหก

บุรุษไปรษณีย์นอนอยู่บนฝ่ามือของเธอ Shade ยักษ์ ซึ่งถือเขาเอาไว้ด้วยความทะนุทนอม เมื่อมันคำรามออกมา ไคเนกับเพื่อนๆ ก็ต้องเอามือปิดหูป้องกันการโจมตีของเสียงนั้น แรงสั่นสะเทือนรุนแรงจนพวกเธอเห็นภาพซ้อน และแล้วมันก็เปลี่ยนเป็นเพลงท่อนหนึ่ง

เพลงที่บุรุษไปรษณีย์สอนให้กับเด็กหญิง



ความคิดของเด็กหญิงสับสนด้วยความโกรธกับความหวาดกลัวที่ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง และความเกลียดที่มีต่อมนุษย์ผู้พยายามพาบุรุษไปรษณีย์ไปจากเธอก็เอ่อล้นออกมาจากหัวใจ

ไม่ว่าฉันจะกินมนุษย์เข้าไปเท่าไรก็ไม่เคยพอ

ไม่มีใครช่วยฉันเลย! มีแค่คนๆ นี้ที่ดีกับฉัน!

เขาสอนฉันว่าความอ่อนโยนเป็นอย่างไร!

ฉัน... ฉันจะเป็นมนุษย์!

ฉันจะได้พูดด้วยภาษาเดียวกัน... กับคนๆ นี้

... ฉันจะได้อยู่กับเขา!  

อีกแค่นิดเดียว

เธอป้องบุรุษไปรษณีย์ไว้ด้วยมือทั้งสองข้าง ระมัดระวังอย่างมากเพื่อไม่ให้เขาได้รับบาดเจ็บ อีกแค่นิดเดียว... เธอก็จะได้พลังที่ทำให้กลายเป็นมนุษย์แล้ว

[เหอะๆ… ก็ไม่รู้ว่าหรอกนะว่าแม่นั่นคิดอะไรอยู่ แต่มันตั้งใจจะกินพวกเราแน่!]

ไทเรนน์พูดติดตลก แต่ไคเนรู้ว่าอีกฝ่ายแค่ใส่หน้ากากแสแสร้ง ตอนนั้นเองบุรุษไปรษณีย์ก็รู้สึกตัวเพราะเสียงเอะอะและการสั่นไหว ดูเหมือนตอนแรกเขาจะไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เมื่อเห็นใบหน้าขนาดใหญ่ของเด็กหญิงเขาก็เบิกตากว้างด้วยความหวาดกลัว บุรุษไปรณีย์อยากหวีดร้องออกมา ทว่าเสียงกลับหายไปในลำคอของเขา 

อย่ากลัวไปเลย เพราะว่าอีกไม่นานฉัน... ฉันจะกลายเป็นมนุษย์แล้ว

เด็กหญิงยิ้มอย่างอ่อนโยนแล้วกอดบุรุษไปรษณีย์ผู้ตัวแข็งทื่อด้วยความกลัว แขนของเธอเริ่มเปลี่ยนสภาพ อักขระสีดำปรากฏขึ้นบนนั้นพร้อมงอกหนามแหลมคมออกมา ก่อนที่มันนจะกลายเป็นอาวุธลอยอยู่ข้างเด็กสาว พร้อมกันนั้นก็มีกงเล็บงอกออกมาจากหลังของเธอเช่นกัน

“วิ่ง!”

ตอนที่ไคเนตะโกนออกไป หนามสีดำก็พุ่งเข้าใส่เนียร์แล้ว เด็กหญิงซัด "หอก" ที่สร้างจากแขนอันใหญ่โตของเธอ ทรายกระจายไปทั่วทุกทิศที่หอกปักลงไป เนียร์ร้องลั่นระหว่างหลบพวกมัน

"ข้าไม่เห็นรู้มาก่อนเลยว่าพวกมันขว้างร่างกายตัวเองออกมาได้!"

"เจ้านั่นมันไม่ปรกติ!"

Shade ยังมีพลังอีกมาก การเปลี่ยนร่างกายตัวเองให้เป็นอาวุธไม่ได้ทำให้เธอเจ็บปวดแม้แต่น้อย แล้วเอมิลก็ตะโกนบอกไคเนขณะที่เขาปัดป้องหนามออกไปด้วยเวทมนต์ของเขา

"ข้าจะพยายามโจมตีมันเอง!"

เส้นแสงเล็กๆ ซึ่งพุ่งออกมาจากคฑาของเอมิลถูกเล็งไปที่ Shade วินาทีต่อมาลูกบอลเวทมนต์ก็ถูกเหวี่ยงเข้าใส่ ระเบิดปีกสองข้างของ Shade จนกระเด็น ทว่ามันกลับงอกคืนเหมือนเดิมในทันที หรือความจริงก็คือมันกลายเป็น 3 แทน จนทำให้เนียร์ต้องร้องออกมา

“เป็นไปไม่ได้... มันเป็นอมตะหรือยังไง”

“ข้าจะจัดการมันเอง พวกเจ้ารีบหนีไปซะ!”

ไคเนกระโดดทยานสูงโจมตี Shade กลางอากาศด้วยเวทมนต์ การจู่โจมทั้งหมดถูกป้องกันด้วยแขนยักษ์บนดาดฟ้าเรือ แต่ไคเนยังไม่ลดละ เธอโจมตีมันอีกครั้งด้วยดาบที่เพิ่มเวทมนต์ลงไป ฝ่าการโจมตีจนเข้าใกล้ร่างหลักของเด็กหญิง เธอไม่ได้พุ่งเข้าไปหาอกหรือศีรษะของอีกฝ่าย ทว่ากลับมุ่งไปยังมือซึ่งโอบบุรุษไปรณีย์ไว้อยู่

“เจ้านี่เป็นคนสำคัญของเจ้าใช่ไหม ห่ะ”

ไคเนชี้ดาบของเธอไปทางบุรุษไปรษณีย์ เด็กหญิงซึ่งนิ่งเฉยตลอดมาเบิกตากว้าง และก่อนที่ไคเนจะไปถึงตัวของบุรุษไปรษณีย์ แขนยักษ์ก็เข้ามากันการโจมตีของเธอไว้ แสงสว่างวาบขณะที่เวทมนต์กับพลังของ Shade ปะทะกัน ตอนนั้นเองไคเนก็เปลี่ยนองศาการจู่โจมทันที ปลายดาบของเธอหันไปทางศีรษะของเด็กสาว

ด้วยความที่พลังทั้งหมดของ Shade ถูกเอาไปใช้ปกป้องบุรุษไปรษณีย์ ทำให้มันไม่มีเวลางอกแขนใหม่ แต่มันก็เบี่ยงหน้าหลบการโจมตีของหญิงสาวได้ในวินาทีสุดท้ายพอดี ถึงอย่างนั้นดาบของไคเนก็ยังฟันโดนหน้าของมัน

เลือดสีดำไหลทะลักออกมาจากบาดแผลพร้อมเสียงกรีดร้องแปลกๆ และบุรุษไปรษณีย์ก็ลอยไปตกลงบนดาดฟ้าเรือ Shade ยกมือขึ้นปิดหน้า และในตอนที่กำลังมองหาบุรุษไปรษณีย์ มันก็เพิ่งรู้ตัวว่าเนียร์กับเอมิลพร้อมโจมตีสุดกำลังด้วยเวทมนต์หอกทมิฬแล้ว

“จบแค่นี้แหละ!”

เวทมนต์ถูกร่ายออกไปด้วยเสียงตะโกนของเนียร์และเสียงคำรามของเอมิล พลังมหาศาลเปลี่ยนเป็นหอกควงแทง Shade ด้วยความเร็วสูง Shade พยายามปัดป้องด้วยแขนซ้าย ทว่าคมอาวุธก็ทำลายอวัยวะของเธอไปจนถึงไหล่ เด็กหญิงกรีดร้อง

“มันยังไม่ตายอีกเหรอ!”

เกิดความเคลื่อนไหวที่คล้ายกับงูนับร้อยบนบาดแผลของ Shade

มนุษย์... มนุษย์... ฉันจะ... เด็กหญิงมองขึ้นไปยังท้องฟ้า

ฉันจะเป็นมนุษย์!!!

รยางค์จำนวนนับไม่ถ้วนงอกออกมาจากบาดแผลของ Shade ก่อนที่มันจะแปรเปลี่ยนเป็นคมดาบนับร้อยซึ่งพร้อมฉีกกระชากทุกสิ่ง ด้วยความที่อยู่ใกล้มาก ทำให้ไม่ว่าจะพยายามป้องกันอย่างไร ไคเนก็ยังถูกรยางค์พวกนั้นฟันแขนซ้าย และขาขวาจนล้มลงกับพื้น เนียร์ผู้กำลังอยู่ในช่วงฟื้นตัวจากการใช้เวทมนต์ไปปริมาณมากเองก็ถูกดาบของ Shade เข้าโจมตี เอมิลกระแทกเนียร์ออกไป แล้วเงาสีดำก็เข้าคลุมแขนซ้ายของเขา

“อ๊ากกกก!”

เอมิลร้องโหยหวน แขนซ้ายของเขาถูกทำลายหายไป เนียร์พยายามเข้าไปช่วยเด็กชาย แต่ก็ถูกดาบโจมตีออกไปเป็นครั้งที่สอง ท่ามกลางดาบมากมายที่ฟาดฟันไปมาอย่างน่ากลัว Shade ยังคงหวีดร้อง

ฉันจะฆ่าแก... ฉันจะฆ่าพวกแกให้หมด!

Shade ซึ่งเคยเป็นเด็กหญิงกรีดร้องขณะกอดร่างกายที่ฉีกขาดของตัวเอง เธอหายใจเข้าออกถี่ราวกับสัตว์ แม้จะแข็งแกร่ง แต่เธอก็ไม่สามารถฟื้นฟูร่างกายให้ทันกับความเสียหายที่ได้รับ ทว่าอาการของเนียร์และคนอื่นๆ ก็ไม่ได้ดีไปกว่ากัน ไม่มีใครสามารถลุกขึ้นมาได้ Shade เหลือบมองมาที่เนียร์แล้วใช้มือสีดำของมันจับเขาขึ้นมา

“อา... ท่านเนียร์... กำลังจะ!”

เอมิลมองขึ้นไปบนท้องฟ้าด้วยร่างกายสั่นเทา ส่วนไคเนกำลังพยายามลุกขึ้นยืนท่ามกลางกองเลือดของตัวเอง และในตอนที่ Shade กำลังจะส่งเนียร์เข้าไปในปากนั่นเอง

“หยุดนะ!”

เป็นเสียงของบุรุษไปรณีย์ผู้ได้สติขึ้นมา เขาวิ่งไปที่ Shade ด้วยฝีเท้าไม่มั่นคง ชายหนุ่มคว้าซีกไม้เปราะบางขึ้นมาเป็นอาวุธเผชิญหน้ากับ Shade ขาของเขาสั่นไม่หยุด

"ไอ้... ไอ้สัตว์ประหลาด!"

คุณพูดว่าให้มาอยู่ด้วยกันไม่ใช่เหรอ

"หายไปซะ ไอ้ตัวกินคน!"

แต่คุณบอกให้ฉันร้องเพลงนี่นา

"ปล่อยคนๆ นั้นไปนะ!"

ฉันพยายามกลายเป็นมนุษย์เพื่อจะได้อยู่... กับคุณ

"ข้าเกลียดเจ้า!"

เด็กหญิงชะงัก เธอมองร่างกายของตัวเองอีกครั้ง กลุ่มควันสีดำลอยออกมาจากอวัยวะที่ถูดตัด เธอสามารถฟื้นอาการบาดเจ็บที่ได้รับ แต่ขณะเดียวกันมันก็เป็นเครื่องหมายที่แสดงว่าเธอคือ Shade

ร่างกายน่าเกลียดนี่มันอะไรกัน ฉันไม่ได้อยากเป็นมนุษย์หรอกเหรอ ด้วยร่างกายแบบนี้... ฉัน... ฉัน...

เธอมองไปที่บุรุษไปรษณีย์ ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความโกรธแค้นและความหวาดกลัว

“ตายซะ!”

คำพูดของเขาทิ่มแทงเด็กหญิง เสียงปีกแตกหักของเธอร่วงหล่นลงในทะเลดังมาให้ได้ยิน เธอรู้ดีว่าตัวเองไม่อาจคงสภาพร่างกายนี้ไว้ได้อีกแล้ว เธอจำไม่ได้แม้ว่าชีวิตมีความหมายอย่างไร เด็กหญิงปล่อยเนียร์ลง เธอยกศีรษะขึ้นช้าๆ เป็นพลบค่ำที่แสงตะวันสีทองฉาย แสงที่พวกเธอสัญญาว่าจะดูด้วยกัน

อา... โลกใบนี้ช่าง... งดงามเหลือเกิน...

ไคเนกระโดดเข้าหาเธอจากด้านหลัง เด็กหญิงไม่ขัดขืน เสียงเนื้อฉีกขาดน่าขยะแขยงดังขึ้น ศีรษะของเธอตกลงมาอย่างเชื่องช้า ร่างกายอันใหญ่โตของเธอสูญเสียรูปร่างแล้วกลายเป็นเม็ดทรายสีดำ และทรายสีดำพวกนั้นก็ถูกลมทะเลพัดพาหายไป

ณ เรือที่ผุพัง แสงยามพลบค่ำซึ่งสะท้อนกับผืนทะเลนั้นดูราวกับอัญมณี



ชั้นสองของบาร์ในซีฟรอนท์เป็นโรงแรมขนาดเล็ก ถึงเตียงจะส่งเสียงเอี๊ยดอาดแต่ก็ดีกว่านอนข้างนอก ไคเนลุกขึ้นลากเท้าที่บาดเจ็บเดินออกไป นี่ก็เป็นวันที่ 3 แล้วหลังจากที่บุรุษไปรษณีย์บังคับให้ไคเน เนียร์ กับเอมิลพักอยู่ในโรงแรมเพื่อแสดงความขอบคุณที่ช่วยเหลือเมืองไว้ ตามปรกติพวกเธอคงปฏิเสธไป แต่ด้วยอาการบาดเจ็บที่ค่อนข้างสาหัสทำให้จำต้องยอมรับน้ำใจนั้นไว้

เอมิลยังนอนหลับอยู่ แขนซ้ายของเขาที่ถูกทำลายไปงอกขึ้นมาใหม่ถึงบริเวณข้อมือแล้ว แม้ไม่ทราบว่าอะไรที่ทำให้เป็นเช่นนั้น แต่อีกไม่กี่วันแขนของเขาคงกลับมาสมบูรณ์เหมือนเดิม เมื่อเทียบกันแล้วอาการบาดเจ็บของเนียร์นั้นเบากว่า เขากับไอ้หนังสือเวรนั่นเลยไปช่วยบุรุษไปรษณีย์ คงใกล้ถึงเวลาที่พวกเธอจะได้ไปจากที่นี่แล้ว

ไคเนสังเกตว่ามีกระดาษแผ่นหนึ่งอยู่ที่ร่องอกของตัวเอง สิ่งที่ดูคล้ายจดหมายนี้หล่นมาจากร่างที่แตกสลายของ Shade มีบางอย่างถูกเขียนไว้ด้วยตัวอักษรขยุกขยุยชวนนึกถึงหนอน เธอคิดว่ามันเป็นของบุรุษไปรษณีย์ แต่เขากลับบอกให้เธอจัดการกับอะไรก็ตามที่สัตว์ประหลาดทิ้งเอาไว้

“ข้าไม่รู้นี่ว่านางเป็นสัตว์ประหลาด…”

อักขระสีดำปรากฏขึ้นบนเท้าของบุรุษไปรษณีย์

ไคเนกางจดหมายออก และไทเรนน์ก็ดูสนใจมาก

[อะไรน่ะ]

"จดหมายที่ Shade เขียนถึงบุรุษไปรษณีย์"

[ก้าก ฮ่าๆๆ ลายมือห่วยแตกชะมัด!]

"มันคงพยายามเขียนเลียนแบบให้เหมือนที่สุดเท่าที่ทำได้น่ะ"

[... มันเขียนว่าอะไรล่ะ]

ไคเนไม่ตอบ แล้วจัดการฉีกจดหมายออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย

แสงอาทิตย์สดใสลอดเข้ามาทางหน้าต่าง ท้องทะเลที่มองผ่านออกไปช่างดูสงบสุข และการต่อสู้บนเรือก็เหมือนผ่านมาแล้วเนิ่นนาน

ชิ้นส่วนของจดหมายร่วงหล่นจากมือของไคเน 

บนมุมหนึ่งของมัน คำว่า "ขอบคุณ" ถูกเขียนครั้งแล้วครั้งเล่าด้วยลายมือแสนน่าเกลียด

ความคิดเห็น

  1. น้อนนนนน เกลียดอีตา Taro มาก เอาน้อนมาทำร้ายด้วย Remaster ฮือออออออ

    ตอบลบ
  2. และผมก็เพิ่งเล่นบทน้อนรอบ 3 เพื่อเก็บฉากจบ C+D ซึ่งมันแตกต่างกับ 2 รอบแรก จริงๆครับ ไอก่อนหน้านี้ว่าเศร้าแล้ว เจอจดหมายเข้าป บ้าเอ้ยน้ำตาเป็นลิตรเลย

    ตอบลบ

แสดงความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Spoil NieR Automata Part 27 Ending E : the End of YoRHa และวิเคราะห์เนื้อเรื่องทั้งหมดตามใจฉัน

ผ้าปิดตาของ YoRHa